รายงาน: พัฒนาการไล่รื้อชุมชนกับการแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินชาวสลัม

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

จากข้อมูลชุมชนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนและการเคหะแห่งชาติร่วมกันสำรวจ ทั่วประเทศมีชุมชนแออัดจำนวน 6,334 ชุมชน 1,630,447 ครัวเรือน มีผู้เดือดร้อนในที่อยู่อาศัยอยู่ 728,639 ครัวเรือน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2550)

ขณะนี้เครือข่ายสลัม 4 ภาค กำลังอยู่ระหว่างการลงพื้นที่พูดคุยกับชุมชนที่อยู่ในสถานการณ์ไล่รื้อเร่งด่วน   ซึ่งมีชุมชนที่เข้าข่ายอยู่ราว 60 ชุมชน (สำรวจถึง ณ วันที่ 20 ส.ค. 58) ส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ซึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในที่ดินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินของกรมธนารักษ์ ที่ราชพัสดุ ที่ดินสาธารณะริมคูคลอง ที่ดินของวัด  ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามสองข้างทางรถไฟ และที่ดินของบริษัทเอกชนต่างๆ

สภาพชุมชนวัดใต้ ที่รอการเจรจาเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยใหม่ให้ดีขึ้น

หากดูสถานการณ์การพัฒนาของรัฐที่จะส่งผลกระทบกับชุมชนและจะเป็นคู่พิพาทกันในอนาคต ตามนโยบายการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างเพื่อการพัฒนาระบบรางทั้งระบบ หรือแม้แต่โครงการบริหารจัดการน้ำ  โครงการเหล่านี้นอกจากจะสร้างผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนแออัดแล้ว ยังสร้างผลกระทบทางอ้อมที่จะทำให้ชุมชนแออัดถูกไล่รื้อตามไปอีกด้วย เพราะบริเวณการก่อสร้างโครงการดังกล่าวจะก่อเกิดมูลค่าราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้ความต้องการใช้ที่ดินเพื่อลงทุนของภาคเอกชนมีมากขึ้น และจากรูปการดังกล่าวทำให้ชุมชนแออัดมีโอกาสจะต้องถูกไล่รื้อมีมากขึ้นตามไปด้วย

ที่ผ่านมาในอดีตจนถึงปัจจุบันรูปแบบการไล่รื้อชุมชนแออัดมีหลากหลายวิธี พอจะแยกออกมาคร่าวๆ ได้ดังนี้

รูปแบบแรก บอกกล่าวแจ้งให้ย้าย  เจ้าของที่ดินในเบื้องต้นจะมีวิธีการแจ้งบอกกล่าวให้ย้ายออกจากวิธีในหลายแบบ เช่น การส่งจดหมายถึงเจ้าของบ้านแต่ละหลัง หรือส่งถึงประธานชุมชน หรือการปักป้ายแจ้งไว้ในที่ๆ ชุมชนสามารถมองเห็นได้ทั่วถึง หรือไม่ก็ส่งกลุ่มที่มีบุคลิกน่าเกรงขามมาแจ้งบอกกล่าวให้รีบย้ายโดยเร็ว ถือเป็นรูปแบบที่ใช้กันทั่วไปในทุกแห่ง เพราะสามารถสร้างจิตวิทยาให้กับชาวบ้านเกิดความเกรงกลัวที่จะถูกดำเนินคดี อาจจะมีชาวบ้านบางส่วนรีบรื้อบ้านย้ายออกไปในทันทีตั้งแต่ทราบข่าว

ภาพป้ายการแจ้งให้ย้าย พร้อมข่มขู่ไม่รับผิดชอบ หากทรัพย์สินเสียหาย ของชุมชนเสรีไท 57

รูปแบบที่สอง จ่ายค่าชดเชยแล้วให้ย้ายออกไป  เป็นวิธีที่เจ้าของที่ดินไม่ว่ารัฐ หรือเอกชน  นำมาใช้กันแทบจะทุกชุมชน (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด)  หากชุมชนใดไม่มีการจัดตั้งที่ดีก็มักจะจบลงด้วยความรวดเร็ว   แต่หากชุมชนใดมีการจัดตั้งชุมชนที่ดี การเจรจาต่อรองเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นเล็กไปเลย อีกทั้งสร้างเงื่อนไขการต่อรองเจรจาไปในทิศทางที่ชุมชนต้องการได้

รูปแบบที่สาม เข้าโครงการช่วยเหลือจากรัฐ เช่น โครงการบ้านยั่งยืน (เอื้ออาทรเดิม), โครงการบ้านมั่นคง ส่วนใหญ่มักจะพบเห็นจากกลุ่มที่โดนไล่รื้อจากโครงการของรัฐ เพราะสามารถเชื่อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ง่ายและสะดวก  แต่ทั้ง 2 โครงการก็มีความต่างในความต้องการของชุมชนเอง หากชุมชนที่อยู่กันแบบปัจเจกไม่เป็นกลุ่มก้อนมักจะเลือกโครงการบ้านยั่งยืน เพราะสะดวกในการจัดการ หากชุมชนไหนที่มีการจัดตั้งรวมกลุ่มกันก็มักจะเลือกโครงการบ้านมั่นคง ที่สามารถแก้ปัญหาร่วมกันทั้งชุมชนในทิศทางเดียวกัน

รูปแบบที่สี่ แจ้งความ ฟ้องศาลขับไล่  เป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่นำเสนอทางเลือกต่างๆ แล้วยังไม่มีข้อยุติเป็นที่น่าพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งโดยทั่วไปชุมชนจะจบลงด้วยการแพ้คดี

รูปแบบที่ห้า เข้ารื้อทำลายทันที   วิธีการนี้ไม่ค่อยเห็นมานานมากในอดีตจะใช้รูปแบบนี้บ่อยที่จะใช้กำลังกลุ่มคนเข้ารื้อทำลายโดยทันทีไม่มีการแจ้งให้รู้ล่วงหน้านานนัก และจะไม่ใช้ระบบกระบวนการตามกฎหมาย  เจ้าของที่ดินจะใช้เครื่องจักร กำลังคนทำลายบ้านเรือนทรัพย์สินให้เสียหายทั้งหมด   หรือวางเพลิง เผาชุมชน ให้หมดสิ้นไป  ในปัจจุบันยังคงมีการใช้วิธีการนี้อยู่ เช่น ชุมชนหลังปั้มเอสโซ่ ย่านพระราม 3 ถูกเผาไล่ที่เมื่อต้นปี 2552 กรณีชุมชนล่าสุดเมื่อปลายปี 2557 ชุมชนเสรีไท 57 เพิ่งถูกดำเนินการไล่รื้ออย่างป่าเถื่อนแบบนี้

สภาพบ้านของชุมชนเสรีไท 57 ที่ถูกรื้อทิ้ง โดยที่ชาวชุมชนไม่ทันตั้งตัว

รูปแบบสุดท้าย หาที่ดินใหม่แลก   วิธีนี้เป็นวิธีที่จบลงด้วยดีทั้งสองฝ่าย  ชุมชนและเจ้าของที่ดินเจรจากันจนได้ข้อยุติ เจ้าของที่ดินจะจัดหาที่ดินแปลงใหม่มาเพื่อรองรับชาวชุมชนทั้งหมดในทำเลใหม่ให้ รูปแบบนี้เห็นได้จากกรณีของชุมชนริมทางรถไฟโค้งอโศก และชุมชนบางนา ที่อยู่ในที่ดินของเอกชน และกรณีชุมชนที่อยู่ในที่ดินการรถไฟฯ ย่านบางกอกน้อย ที่การรถไฟฯ หาที่ดินแห่งใหม่ให้กับชาวชุมชนย้ายไปไม่เกิน 5 กิโลเมตร จากที่เดิม

รูปแบบต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ของเจ้าของที่ดินว่าต้องการขับไล่ชาวชุมชนมากน้อยเพียงใด บ้างมีการเจรจากันก่อนดำเนินการ บ้างดำเนินการเลยโดยไม่มีการพูดคุย บ้างมีหน่วยงานรัฐเป็นกลไกกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ย   ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งขององค์กรชุมชนเองว่ามีการเตรียมความพร้อมรับมือกับเรื่องนี้เช่นไร

ส่วนการรื้อย้ายสลัมจะจบลงด้วยวิธีใดก็ตามสิ่งที่จะกระทบตามมาของกลุ่มคนเหล่านั้นคือวิถีชีวิตดั้งเดิมของเขา   ชุมชนที่ถูกไล่รื้อส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีอายุชุมชนไม่ต่ำกว่า 20 ปีทั้งนั้น  บางชุมชนอยู่มากัน 2 – 3 ชั่วอายุคน ทำให้การปักหลักวางฐานของครอบครัว ชุมชน มีความเกี่ยวพันกับสงคมรอบข้างชุมชนเป็นอย่างมาก สิ่งที่ชาวชุมชนจะต้องประสบพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นี้แน่ๆ คือ

1.รูปแบบการพักอาศัยที่ต้องเปลี่ยนไป  ชุมชนไหนที่มีความเข้มแข็งก็มักจะสามารถออกแบบที่อยู่อาศัยใหม่ได้ให้เหมาะสมกับสมาชิกชุมชนตนเอง   หากไม่มีความพร้อมของชุมชนถ้าเป็นในอดีตก็จะมีการไปหาที่ว่างแปลงใหม่ในการอยู่อาศัย  แต่เนื่องในปัจจุบันที่ว่างในเมืองหลวงแทบจะไม่มีเหลือหากชาวชุมชนจะไปหาที่ดินว่างเปล่าก็คงต้องขยับไปนอกเมืองมากๆ หรืออาจจะต้องเป็นปริมณฑล หากจะหาที่อยู่อาศัยอื่นก็จะเป็นห้องเช่าราคาถูกอยู่กันแบบแออัด หรือถ้าเป็นที่รัฐจัดให้ก็จะเป็นลักษณะที่อยู่อาศัยทรงสูง  บางคนไม่สามารถประกอบอาชีพเดิมได้ เช่น กลุ่มคนเก็บของเก่าขาย, กลุ่มขายอาหาร, กลุ่มอาชีพที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการประกอบอาชีพ

2.อาชีพและการเดินทางที่จะต้องเปลี่ยนไป   เมื่อที่พักอาศัยต้องห่างจาก ทำเล หรือที่ตั้งการประกอบอาชีพเปลี่ยนไปส่งผลให้การลงทุนจะต้องเพิ่มขึ้น เพราะส่วนใหญ่หากชุมชนจะต้องย้ายออกจากชุมชนเดิมมักจะมีที่ตั้งชุมชนใหม่ในพื้นที่ที่ห่างจากที่ตั้งออกไปจากเดิม มากบ้าง  น้อยบ้าง  ตามแต่ที่จะเจรจาต่อรอง หรือการเสาะแสวงหาของชาวชุมชนเอง

3.การศึกษาของบุตรหลาน  พอย้ายที่อยู่อาศัยใหม่ บุตรหลานจำเป็นต้องย้ายสถานศึกษาใหม่ตามไปด้วย   หากต้องย้ายช่วงระหว่างเรียนจำเป็นต้องเดินทางระยะทางไกลไปก่อนจนกว่าจะปิดเทอม

บทส่งท้ายนี้ สังคมเมืองควรจะมีคำตอบให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ว่าที่ผ่านมาแรงงานหลักในการสร้างเมืองนั้นเป็นกลุ่มคนใด  ดังเคยมีคำกล่าวไว้ว่า สลัมนั้นเปรียบดัง “โกดังแรงงาน” หากต้องการแรงงานราคาถูกก็มาหาได้ที่นี่ เหมือนกับคำที่อดีตผู้นำชุมชน คุณทวีศักดิ์  แสงอาทิตย์ ได้กล่าวไว้ว่า “เมืองจะเจริญไม่ได้  ถ้าปราศจากคนจน”

หลังจากเป็นส่วนในการสร้างเมือง แล้วจะทำการเบียดขับกลุ่มคนเหล่านี้ออกไปเยี่ยงไร  เพราะเขาคือฟันเฟืองหนึ่งที่ร่วมกันพัฒนาเมือง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท