Skip to main content
sharethis

รอยยิ้มที่เล่าเรื่องของ “หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ” บทสัมภาษณ์ที่กล่าวถึงภูมิหลังว่าทำไมเขาจึงเข้าร่วมขบวนการพูโลเพื่อต่อสู่กับรัฐไทย จากเหตุการณ์ที่สะพานกอตอ เรื่อยมาจนถึงแผนใบไม้ร่วง ก่อนจะถูกจับกุมจนถึงการได้รับพักโทษคดีความมั่นคงปัจจุบัน

หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หรือ นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง อายุ 58 ปี ผู้ต้องขังคดีกบฏแบ่งแยกดินแดนในฐานะอดีตแกนนำขบวนการพูโล หลังได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเป็นกรณีพิเศษ จากเรือนจำกลางปัตตานี เมื่อวันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2558 รวมระยะเวลาถูกขัง 18 ปี โดยเขาถูกจับกุมเมื่อเดือนมกราคม ปี 2541 และศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่ได้รับการลดโทษมาตลอด

วันนี้ที่บ้านเกิดที่บ้านท่าน้ำ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เขาไปกลับมาอยู่กับแม่อีกครั้ง หลังจากออกจากบ้านหลังนี้มานานถึง 39 ปีแล้ว ในตอนนั้นที่ออกเดินทางไกลไปเรียนที่เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย หลังจากเรียนที่โรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี

บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านของหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ เพื่อนร่วมคดีเดียวกันที่ได้รับการพักโทษและได้กลับมาอยู่บ้านก่อนหน้านี้ไม่นาน ต่างกันเพียงไม่มีเจ้าหน้าที่มากคอยดูแลคุ้มกัน มีเพียงญาติพี่น้องเพื่อนบ้านมานั่งเป็นเพื่อนเท่านั้น

หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ เล่าว่า ที่เมืองมักกะห์ เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนดารุลอูลูมในชั้นมัธยมปลาย เมื่อเรียนจบก็ไปเรียนต่อนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ ที่ประเทศซีเรีย โดยหวังว่าจะกลับมาทำงานประชาสัมพันธ์ที่กรุงเทพมหานคร

เขาเรียนจบปริญญาตรีเมื่ออายุ 25 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว เขาเป็นสมาชิกขบวนการพูโลตั้งแต่ก่อนจะเดินทางไปมักกะห์หรือตั้งแต่ปี 2518 เพราะถ้าไม่เป็นสมาชิกพูโลก่อนก็จะเดินทางไปเรียนต่อลำบาก ตอนนั้นพูโลเป็นขบวนการที่ใหญ่มากและได้ก่อตั้งมาแล้วประมาณ 15 ปี

ปี 2518 เป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญสองอย่างที่เกี่ยวข้องกันและเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างบาดแผลในใจคนมลายูปาตานีมาจนถึงปัจจุบันด้วย นั่นคือเหตุการณ์ที่ชายชาวมลายู 5 คนถูกฆ่าตายและถูกโยนทิ้งลงจากสะพานกอตอ รอยต่อระหว่างจังหวัดปัตตานีกับนราธิวาส แต่ปรากฏว่ามีวัยรุ่นคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บและรอดชีวิตมาได้จึงนำเรื่องราวไปเล่าให้ชาวบ้านว่า การสังหารนั้นเป็นฝีมือของทหารนาวิกโยธิน

เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปจึงทำให้คนในพื้นที่ออกไปชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในตัวเมืองปัตตานีถึง 45 วันเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และต้องการให้ทางการหาตัวผู้ก่อเหตุไปลงโทษ

การชุมนุมครั้งนั้นมีขึ้นที่ศาลากลางจังหวัด แต่ปรากฏว่ามีผู้นำระเบิดไปขว้างใส่จนทำให้มีคนตาย 12 คนบาดเจ็บอีกกว่า 20 คน ทำให้ต้องย้ายการชุมชุมไปที่มัสยิดกลาง

ตอนนั้นหะยีดาโอ๊ะเรียนอยู่ที่โรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยาและได้เข้าร่วมการชุมนุมด้วย ซึ่งความคับแค้นใจได้ก่อตัวขึ้นในใจเข้าด้วย อันเนื่องจากความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น

หลังจากเหตุการณ์ การเคลื่อนไหวของขบวนการต่างๆในพื้นที่มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะพูโลที่มีการเคลื่อนไหวในต่างประเทศด้วย เมื่อถามว่าทำไมเขาจึงเข้าเป็นสมาชิกพูโลทั้งที่มีขบวนการอื่นอยู่ด้วย

หะยีดาโอ๊ะยิ้มก่อนจะตอบว่า ตอนนั้นพูโลเคลื่อนไหวเพื่อนำเรื่องปาตานีไปถึงสหประชาชาตินำโดยตวนกูบีรอ กอตอนีลอ ผู้ก่อตั้งพูโล และ ดร.อารง มูเล็ง ปัจจุบันทั้งสองคนเสียชีวิตไปนานแล้ว

หลังจากเรียนจบเขาได้กลับมาที่ปัตตานีมาอยู่กับแม่ที่บ้านท่าน้ำ แต่ทว่าไม่นานเขาก็ถูกติดตามจากเข้าหน้าที่ จนทำให้เขาต้องหนีไปอยู่มาเลเซีย

ในช่วงปี 2536 เกิดเหตุการณ์เผาโรงเรียน 36 โรง จากนั้นตามด้วยเหตุการณ์ทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายครั้ง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเรียกว่า แผนใบไม้ร่วง ซึ่งหะยีดาโอ๊ะบอกว่าช่วงนั้นเขาหนีไปอยู่มาเลเซียแล้ว

เขาบอกว่า แผนใบไม้ร่วงแต่เป็นชื่อที่ฝ่ายรัฐเรียก แต่ที่จริงก็คือปฏิบัติการยิงเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2536 ไปจนถึงปี 2539

“ตอนนั้นเวลามีเหตุการณ์อะไรก็มีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยตลอด ปรากฏในข่าวตลอด แม้บางเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ก็ยังมีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”

หะยีดาโอ๊ะถูกจับกุมในเดือนมกราคมปี 2541 โดยถูกเจ้าหน้าที่มาเลเซียจับส่งมาให้ทางการไทยด้วยข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน เขาต่อสู้คดีนี้จนถึงฎีการวม 15 ปี ซึ่งศาลฎีกาตัดสินจำคุกตลอดชีวิต โดยในการสู้คดีก็ทนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เป็นทนายว่าความให้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

หะยีดาโอ๊ะบอกว่า ในช่วงที่เขาหนีไปอยู่มาเลเซียแล้วนั้น มีการพูดคุยเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับฝ่ายขบวนการแล้ว แต่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรในเรื่องนี้ จึงไม่สามารถให้ข้อมูลและความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องได้

“แต่ผมก็เห็นด้วยกับการพูดคุยนะครับ เพราะปัญหาทุกอย่างจะจบลงได้ด้วยการพูดคุยทำความเข้าใจ ถ้าไม่คุยก็ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร”

คำถามคือ แล้วคุยกันแล้วหลายครั้งตอนนั้นทำไมปัญหาจึงยังไม่จบ “ผมตอบไม่ได้ครับ ผมไม่รู้ ไม่ได้อยู่ในกระบวนการ”

อย่างไรก็ตามการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับขบวนการในอดีตไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะมากเช่นในปัจจุบัน แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความเห็นเรื่องนี้

เมื่อถามว่า กลุ่มมาร่าปาตานีที่ออกมาแถลงข่าวรู้จักกันทั้งหมดหรือไม่ เขาตอบทันว่า “รู้จักทั้งหมด เพราะเป็นคนรุ่นเก่าทั้งนั้น หลายคนเคยเจอมาก่อนที่ผมจะถูกจับ”

เมื่อถามต่อไปว่า มาร่าปาตานีเป็นตัวจริงหรือไม่ หะยีดาโอ๊ะก็ได้แต่ส่งยิ้มเป็นคำตอบ

แล้วการได้รับการพักโทษครั้งนี้ทางรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยอะไรบ้างหรือไม่ หะยีดาโอ๊ะตอบว่า ไม่ได้ขออะไร แต่ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็ยินดีจะช่วยในเรื่องที่ช่วยได้ แต่เรื่องไหนที่ทำไม่ได้ก็จะปฏิเสธ

ก่อนที่เขาจะเสริมว่า “การพูดคุยเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะได้เข้าใจกัน” แต่เมื่อถามต่อไปว่า แล้วจะบอกกับฝ่ายที่ใช้ยังอาวุธอยู่ให้มาใช้วิธีพูดคุยกันได้อย่างไร

“ผมไม่ขอตอบครับ” แล้วเขาก็ยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะพูดสั้นๆว่า “การใช้อาวุธประชาชนไม่ชอบ”

จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ต้องคุยกับหัวหน้าตัวจริง ถ้าเจอตัวจริงและตกลงกันได้ปัญหาก็จบ ทุกอย่างก็จะดีขึ้น”

เมื่อถามต่อไปว่า ตอนนี้ในพื้นที่สามารถพูดคุยกันได้หลายเรื่องในที่สาธารณะทั้งที่ในอดีตอาจเป็นเรื่องต้องห้าม แล้ว เช่น มีการจัดงานครบรอบการหายตัวไปของหะยีสุหลง

หะยีดาโอ๊ะ ตอบว่า ใช่ ตอนนี้เปิดมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่จะคุยอะไรมากไม่ได้ แม้แต่เรื่องศาสนา เพราะถูกระแวงสงสัยว่าปลุกระดมหรือเปล่า

เขายกตัวอย่างว่า ตอนนั้นคนที่เรียนจบศาสนาต่างประเทศจะถูกเพ่งเล็งทั้งหมด ทำให้พวกเขาอยู่ลำบาก ถูกติดตามจากเจ้าหน้าที่ บางคนถูกจับ บางคนก็หายตัวไป

จากนั้นเขาก็เสริมว่า การแก้ปัญหาในพื้นที่ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันปัญหาก็จะจบและจะเกิดความสงบขึ้นมา แต่การแก้ปัญหาได้นั้นรัฐต้องมีความจริงใจด้วย

“ไม่ต้องจริงใจถึง 100% หรอกครับ ขอแค่ 80% ก็จะทำให้สงบได้แล้ว”

เมื่อถามต่อไปว่า ตอนนี้ในพื้นที่มีทั้งที่เรียกว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปาตานี และ ฟาฏอนีย์ ชอบชื่อไหนมากทีสุด

หะยีดาโอ๊ะตอบว่า “ผมชอบชื่อฟาฏอนีย์ครับ”

เมื่อถามถึงบรรยากาศขณะอยู่ในเรือนจำ ซึ่งหะยีดาโอ๊ะเล่าว่า เขาได้รับการอภัยโทษมาแล้ว 3 รอบก่อนที่จะได้รับการพักโทษในครั้งนี้

ตอนอยู่ในเรือนจำก็ไม่มีโรคประจำตัวอะไร และไม่ได้ถูกถูกทำร้ายร่างกายด้วย

เมื่อได้รับการพักโทษและถูกปล่อยตัวกลับมาครั้งนี้เขาจึงดีใจมากที่สุดในชีวิต เพราะจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวโดยเฉพาะกับลูกสาว 2 คนและแม่ ส่วนภรรยาได้ไปตั้งรกรากที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส โดยซื้อที่ดินทำสวนไว้ที่นั่นแล้ว ซึ่งเขาเองก็จะไปอยู่ที่นั่นด้วย

ตอนอยู่ที่เรือนจำปัตตานี หะยีดาโอ๊ะได้อยู่ด้วยกันกับนักโทษคดีความมั่นคงอีกหลายคน เช่น อันวาร์ หะยีเต๊ะ ซึ่งหะยีดาโอ๊ะบอกว่า อยากให้ปล่อยอันวาร์ออกมาด้วย เพราะอันวาร์เป็นคนเก่ง น่าจะทำอะไรได้หลายอย่างที่ช่วยเหลือสังคมได้

“ผมไม่ได้ตกลงอะไรกับอันวาร์หรอกครับว่าจะออกมาทำอะไรด้วยกันเพราะถึงจะตกลงอะไรกันเจ้าหน้าที่ก็รู้ครับ” แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเสริมว่า “ตอนนี้ในคุกตื่นเต้นกันมากในเรื่องการพักโทษ เพราะทำให้ทุกคนมีความหวังว่าจะได้ออกมาเร็วๆ”

แต่ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงที่จะได้ออกมาจากเรือนจำอีกคนเร็ว ๆ นี้ คือนายอับดุลรอมาน อับดุลกอเด หรือ บาบอแมกาหยี ตอนนี้อยู่ในเรือนจำนาทวี จ.สงขลา

การสนทนาก็จบลงด้วยรอยยิ้มอีกครั้งของหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net