ที่มาภาพ: http://selftaughtfilm.com/
คงยังจำกันได้ว่า หนังเรื่อง Cast away (ชื่อเรื่องภาษาไทยว่า “คนหลุดโลก”) มีฉากหนึ่ง เรียกน้ำตาดราม่ากับผู้ชมได้มาก และเป็นฉากที่กล่าวกันว่า ส่งให้หนังเรื่องนี้เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วด้วย คือ ฉากที่ตัวเอกอย่างอีตาชาค โนแลนด์ (รับบทโดย ทอม แฮงส์) กำลังว่ายน้ำทะเลอยู่ พร้อมร้องเรียกหาเพื่อนของเขา อย่างสุดจิตสุดใจ
“วิลสันนนนน”
ก่อนที่วิลสันและตัวเขาจะถูกคลื่นทะเลซัดหายลับจากกันไป ฉากนี้คงเป็นฉากธรรมดา หากวิลสันเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่หมา แมว แต่ฉากนี้กลับมีความไม่ธรรมดา เมื่อวิลสันเพื่อนโนแลนด์นั้นคือลูกบอล ไม่ใช่มนุษย์
ย้อนกลับไปที่ต้นเรื่อง เมื่อแรกโนแลนด์กับเพื่อน เครื่องบินตก เขารอดชีวิตแต่ไปติดเกาะร้างกลางมหาสมุทรอยู่คนเดียว แน่นอนเขาเหงา ไม่มีเพื่อนมนุษย์ให้พูดคุย ครั้นเห็นลูกบอลติดสีฝ่ามือเป็นรูปคล้ายใบหน้าคน ทรงผมตั้งตรง โนแลนด์เกิดไอเดีย จึงใช้นิ้ววาดรูปตาและปากให้กับลูกบอลนั้น แล้วตั้งชื่อว่า “วิลสัน” ตั้งแต่นั้นวิลสันก็กลายเป็นเพื่อนคนเดียวที่มีอยู่บนโลกในยามนั้นของโนแลนด์ เขาพูดคุยสนทนาและปฏิบัติเหมือนวิลสันเป็นมนุษย์ วิลสันทำให้เขาไม่เหงา ชดเชยกับความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าไม่ได้อยู่คนเดียวบนเกาะร้าง และคิดถึงเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ที่อยู่อีกฟากของทะเล วิลสันช่วยให้เขารอด เพราะรักษาความเป็นมนุษย์ในภาวะที่ไร้มนุษย์
ทำไมวิลสันถึงต้องหายไป เมื่อโนแลนด์จะรอดชีวิตออกจากเกาะ ?
คิดว่า เพราะวิลสันหมดสิ้นบทบาทหน้าที่ วิลสันคือผู้ช่วยให้โนแลนด์สามารถรักษารูปแบบภาษา การสื่อความหมาย การถ่ายทอดภาวะอารมณ์ความรู้สึก ในแบบที่มนุษย์ผู้อยู่ในสังคมร่วมกับมนุษย์ผู้อื่นพึงมี เพราะภาษาเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ มนุษย์คิด ตระหนักรู้ และจัดประเภทสิ่งต่างๆ ก็โดยผ่านทางภาษา
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า วิลสันก็คือสังคม คือมนุษย์ที่อีตาโนแลนด์มโนขึ้นมา เพื่อรักษาจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ของตนเอง เมื่อโนแลนด์รอดชีวิตออกจากเกาะมาได้แล้ว วิลสันจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไป
กลับกันหากเป็นในสังคมที่มีผู้คนมากมาย แต่ก็ยังไม่วายที่มีคนรู้สึกไม่ต่างจากอยู่บนเกาะร้างคนเดียว วิลสันจะแฝงอยู่กับวัตถุชิ้นไหนในสังคมมนุษย์ ใช่มือถือ,ไอโฟน,ซัมซุง,กระเป๋า,เสื้อผ้า, รถ, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ หรือไม่??? ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง กำลังถูกแทนที่แย่งซีนอีกครั้งในสังคมไทย ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับวัตถุ ผ่านทางภาษาใช่หรือไม่? แล้วมันต่างจากวัตถุอื่นมนุษย์เคยใช้กันมาอย่างไร ชาวพุทธมโนความสำคัญของพระพุทธรูป สถูปเจดีย์กันแบบไหน ชาวคริสต์คุยกับไม้กางเขนโดยถือว่านั่นคือการสื่อสารกับพระเจ้าได้อย่างไร ฯลฯ
เรื่องลูกเทพ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัววัฒนธรรมความเชื่อ จะผี พุทธ พราหมณ์ คริสต์ อิสลาม ก็ไม่เกี่ยว หากวัฒนธรรมความเชื่อเป็นเพียงวัฒนธรรมความเชื่อ เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล จะไปไหว้ต้นไม้ หรือเซ่นผีที่ไหน คงไม่มีใครว่า แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะสาเหตุดังต่อไปนี้
1. ลูกเทพมาใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับมนุษย์ ในระนาบเดียวกับมนุษย์ ในขณะที่พื้นที่สาธารณะของมนุษย์แต่ละคนในปัจจุบัน ล้วนต่างถูกก็เบียดขับแย่งชิงพื้นที่ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ตั้งแต่ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร, ห้างสรรพสินค้า, รถเมล์, แท็กซี่, รถทัวร์, เครื่องบิน ฯลฯ ลำพังมนุษย์ด้วยกันก็ล้นหลามมากอยู่แล้ว ลองนึกถึงช่วงเทศกาล มนุษย์ต้องกินต้องใช้ต้องเดินทาง ต้องการการบริการ ภาวะเร่งรีบ ด้วยกันทั้งนั้น คนที่ไม่เชื่อ ไม่เล่น ก็เลยรู้สึกถึงความไม่สมเหตุสมผลที่ต้องสูญเสียหรือถูกแย่งชิงพื้นที่ในชีวิตประจำวันไปโดยตุ๊กตา
2. สาวกลัทธินี้ยังมีพฤติกรรม/พิธีกรรม/วัตรปฏิบัติ ที่ถือเป็นการบังคับเรียกร้องให้คนอื่นที่ไม่เชื่อไม่นับถือเหมือนอย่างตน ต้อง treat ต้องปฏิบัติต่อวัตถุที่ถูกหมายให้เป็น “ลูกเทพ” นั้น ในฐานะมนุษย์ หรือเหมือนอย่างเป็นมนุษย์ไปเหมือนกับตนด้วย เช่นกรณีคนขับแท็กซี่ ที่เล่าว่าถูกผู้โดยสารบอกให้ขับรถดีๆ เพราะลูกเทพเวียนหัว ซึ่งอันนี้มันอันตราย เพราะเลยพ้นขอบเขตความเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่สังคมจะอนุญาต การบังคับให้คนที่เขาไม่เชื่อเหมือนอย่างตนต้องปฏิบัติต่อวัตถุในจินตนาการความมโนของตน เหมือนอย่างที่ตนปฏิบัติด้วยนั้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่นๆ
ตรงข้าม หากลูกเทพ (ซึ่งจริงๆ ตัวผู้ถือตุ๊กตานั่นต่างหากที่ทำให้ลูกเทพมีวิญญาณสิงไปจริงๆ) ไม่เข้ามาแย่งพื้นที่สาธารณะกับมนุษย์ และผู้ที่เชื่อ/เล่น/เลี้ยง ไม่เรียกร้องหรือบังคับให้คนอื่นต้องปฏิบัติต่อตุ๊กตาของตนเหมือนอย่างมนุษย์ไปกับตนด้วย ลัทธิความเชื่อนี้ก็จะยังมีพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต และสังคมจะไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยที่ต้องต่อต้านอะไรมากมาย อย่างมากก็ด่าว่าบ้า โง่ งมงาย ไร้สาระ โดยไม่นำพาไปสู่การแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด เพราะเขาไม่มองมันเป็นปัญหา
แต่ท้ายสุดแล้วคนที่เชื่อกับไม่เชื่อ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ บนเงื่อนไขว่าให้อยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล เป็นความเชื่อส่วนบุคคล มีพื้นที่ ชุมชน ของตนเอง แยกต่างหาก ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวหรือบังคับคนที่เขาไม่เชื่อเหมือนอย่างตน ให้ต้องเชื่อ ต้องปฏิบัติ เหมือนอย่างตนไปด้วย มันไม่แฟร์และเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่น
สาวกลัทธิใหม่นี้จึงควรเรียนรู้ที่จะเคารพสิทธิของผู้ที่เชื่อหรือเห็นต่างจากตน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ส่วนความเชื่อเนื่องในลัทธินี้ จะมีรูปแบบเนื้อหาอย่างไร ไหว้อะไร คุยอยู่กับอะไร โอ๊ยสังคมประเทศนี้มันก็เต็มไปด้วยผีบ้ากันทั้งนั้นแหล่ะครับ จะทำยังไงให้มันอยู่ร่วมกันได้ ไม่ทำร้ายกันต่างหากล่ะ!!!
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)