‘ชัยวัฒน์’ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดี ‘บิลลี่’ รอ ป.ป.ท. ชี้มูลความผิด

เลขาธิการ ป.ป.ท ระบุ ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ อดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาคดี บิลลี่ สูญหาย ชี้ใช้เวลาไต่สวนข้อเท็จจริง 2 เดือน หากพบความผิดเตรียมส่งให้อัยการดำเนินการต่อไป

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 16 ก.พ. ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน ได้เดินทางเข้าพบอนุกรรมการไต่สวนที่สำนักงาน ป.ป.ท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แก่อนุกรรมการไต่สวน ส่วนรายละเอียดนั้น ตนยังไม่ได้รับรายงาน อย่างไรก็ตาม กระบวนการตามปกติ หลังจากนี้ทางอนุกรรมการไต่สวนจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อเสนอต่อคณะกรรม ป.ป.ท. เพื่อชี้มูลว่ามีความผิดหรือไม่ หากไม่ผิดเรื่องนี้ก็จะยุติลง แต่ถ้ามีความผิดเราก็จะส่งสำนวนไปให้ทางอัยการดำเนินการต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า ชัยวัฒน์ได้เดินทางมารับทราบในวันนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่ ชัยวัฒน์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานได้ควบคุมตัว บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 โดยมีชาวบ้านเห็น บิลลีครั้งสุดท้ายในเวลา 17.00 น. ขณะถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากค้นตัวบิลลี่แล้วพบรังผึ้งและน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ ไม่จัดทำบันทึกการจับกุม ไม่จัดทำบัญชีของกลางไม่ได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ อีกทั้ง ยังไม่ได้แจ้งให้ญาติทราบถึงการถูกจับ ไม่นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่อ้างว่าได้ทำการตักเตือนและปล่อยตัว บิลลี่ ไปแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏหลักฐานที่อ้างเกี่ยวกับการจับกุมและหลักฐานการปล่อยตัวแต่อย่างใด จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครพบเห็น บิลลี่อีกเลย

ทั้งนี้ในศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2557  เนื่องจากเห็นว่า จากการไต่สวนพยานทั้งปาก ชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่อุทยาน 4 คน รวมถึงนักศึกษาฝึกงาน 2 คน ให้การสอดคล้องกันว่าได้มีการปล่อยตัว บิลลี่ ไปแล้ว แม้ทนายความฝ่ายผู้ร้องจะนำพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจานมาเบิกความต่อศาล ได้ความว่าคำให้การนักศึกษาฝึกงานในชั้นพนักงานสอบสวนจะขัดกับคำให้การในชั้นศาลแต่พยานปากพนักงานสอบสวนเป็นพยานบอกเล่าจึงใม่อาจรับฟังได้ จากการไต่สวนพยานทั้งหมดแล้วยังฟังไม่ได้ว่า บิลลี่ ยังอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยาน(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2557 ศาลจังหวัดเพชรบุรี มีคำสั่งรับอุทธรณ์ คดีการขอให้ปล่อยตัว บิลลี่ ที่ถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วย กฎหมายไว้พิจารณาต่อไปในชั้นอุทธรณ์ หลังจากภรรยาของ บิลลี่ ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2557

โดยอุทธรณ์ดังกล่าวโต้แย้งว่า คำให้การของพยานแต่ละปาก เบิกความไม่ตรงกัน มีพิรุธ ขัดต่อหลักเหตุผล อีกทั้ง ชัยวัฒน์  ลิ้ม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ผู้ที่อยู่กับ บิลลี่ เป็นครั้งสุดท้าย มีเหตุโกรธเคืองกับ บิลลี่ มาก่อนในกรณีการขับไล่ เผาบ้านเรือนของชาวกะเหรี่ยงโป่งลึก บางกลอย ในปี 2554 จนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง ในคดีดังกล่าวมี บิลลี่ เป็นผู้ประสานงาน ประกอบกับประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วยการลง นามอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับต้อง คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล ที่จะไม่ถูกบังคับให้สูญหายและรัฐมีหน้าที่ต้องค้นหาความจริง(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

และศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้อง กรณีพิณนภา พฤกษาพรรณ ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวนายพอละจี รั

กจงเจริญ หรือบิลลี่ จากการควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 90 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550  เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2558  โดยเนื้อหาในคำสั่งระบุว่า จากการไต่สวนพยานทั้งปากนายชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่อุทยาน 4 คน รวมถึงนักศึกษาฝึกงาน 2 คน ให้การสอดคล้องกันว่าได้มีการปล่อยตัวนายบิลลี่ไปแล้ว แม้คำเบิกความจะมีข้อแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงรายละเอียดหาใช่ข้อสาระสำคัญ อันเป็นพิรุธไม่ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบยังรับฟังไม่ได้ว่ามีการคุมขังนายบิลลี่ไว้โดย ไม่ขอบด้วยกฎหมาย คำร้องขอผู้ร้องจึงไม่มีมูล ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

จากนั้น พิณนภา ผู้ร้อง ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว จึงได้ยื่นฎีกาในประเด็นดังต่อไปนี้

1. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฯ มีความขัดแย้งกับ บิลลี่ ในกรณีการเผาทำลาย ไล่รื้อ บ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย จึงอาจเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ฯ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ดำเนินคดี และนำไปสู่การควบคุมตัวบิลลี่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของ บิลลี่

2. การพิสูจน์ว่า บิลลี่ ได้รับการปล่อยตัวไปแล้วหรือไม่นั้น โดยหลักการรับฟังพยานหลักฐาน ภาระการพิสูจน์เป็นของฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในการควบคุมตัว ไม่ใช่ภาระการพิสูจน์ของญาติผู้ถูกควบคุมตัว และตุลาการจะต้องทำหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานให้ถึงที่ สุดว่า บิลลี่ ได้รับการปล่อยตัวไปแล้วจริง เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานบันทึกการจับ บันทึกของกลาง และบันทึกการปล่อยตัว จึงไม่อาจเชื่อได้ว่า บิลลี่ ได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว และเชื่อได้ว่า บิลลี่ ยังคงอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ฯ

3. พยานที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับฟังล้วนแล้วแต่อยู่ใต้บังคับบัญชาและการดูแลของ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ซึ่งเบิกความขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวนในประเด็นการปล่อยตัว บิลลี่ อันเป็นข้อสำคัญในคดี โดยพนักงานสอบสวนได้พบพยานหลักฐานใหม่ที่ยืนยันว่า บิลลี่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว จึงขอให้ศาลฎีกาไต่สวนพยานเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังการพิจารณาของศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ และมีสาระสำคัญถึงขนาดที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้

และศาลฏีกาได้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2558 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2558 พิณนภา ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พื่อขอให้รับคดีการหายตัวของนายบิลลี่เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากคดีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นทำให้มี อุปสรรคในการสืบสวนสอบสวน เกิดความหวาดกลัวของพยาน และมีความยากลำบากในการสืบหาพยานหลักฐาน

คดีนี้พนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ได้ตั้งข้อหาเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  หรือปฏิบัติ  หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และส่งสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน ภาครัฐ (ป.ป.ท.) เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2558 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ทั้งนี้ ป.ป.ท. ได้เรียกตัว ชัยวัฒน์ มารับทราบข้อกล่าวหาแล้วในวันที่ 16 ก.พ. 2559 แต่ในยังของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังไม่มีการพิจจารณาว่ารับเป็นคดีพิเศษหรือไม่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท