Skip to main content
sharethis

12 เม.ย. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ออกแถลงการณ์ แสดงความเห็นใจทั้งครอบครัวผู้ป่วยและแพทย์ เรียกร้องกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่ของตนเอง หลังดองกฎหมายฉบับนี้นานถึง 8 ปี เร่งออกกฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากบริการสาธารณสุขเพื่อลดการฟ้องคดีต่อแพทย์ รวมทั้งผู้ป่วยและครอบครัวได้รับการดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้น

โดยระบุว่าเครือข่ายผู้ป่วย องค์กรด้านสุขภาพ และองค์กรผู้บริโภค ได้มีการผลักดันยกร่างกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2550 โดยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ 1) การชดเชยความเสียหายจากบริการสาธารณสุขโดยไม่พิสูจน์ถูกผิด 2) การลดการฟ้องร้องระหว่างแพทย์ และคนไข้และ 3) การนำความเสียหายที่เกิดขึ้นปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุข และประชาชนได้เข้าชื่อกัน 10,000 รายชื่อ เสนอกฎหมายต่อรัฐสภาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 แต่ก็ถูกคัดค้านโดยแพทยสภา และได้มีร่างกฎหมายของแพทย์เข้าชื่อกันในการเสนอกฎหมายฉบับนี้ด้วย เมื่อปีพ.ศ. 2554 รัฐสภาได้มีมติเห็นชอบให้บรรจุร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 แล้ว แต่ยังไม่ได้รับพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทั้งรัฐบาลอภิสิทธ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีผลให้ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับตกไปหลังรัฐประหารปัจจุบัน

จนกระทั่งปี 2557 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้เสนอบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง แนวทางการตรากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหาย จากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธาน สภาปฏิรูป เพื่อพิจารณา ซึ่งล่าสุด ปี 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้เห็นชอบส่งร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และครม.ได้นำส่งกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณา แต่ยังไม่มีความคืบหน้าของกระทรวงสาธารณสุขจนถึงปัจจุบัน

"หวังว่ากระทรวงสาธารณสุข จะเร่งดำเนินการจัดทำกฎหมายฉบับนี้โดยเร็วเพื่อลดความขัดแย้งความทุกข์  ของทั้งแพทย์ คนไข้และครอบครัว" แถลงการณ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุตอนท้าย

รายละเอียดแถลงการณ์

นับเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจทั้งผู้ป่วยและแพทย์ เพราะการฟ้องคดีมีคำว่าชนะและแพ้เป็นคำตอบ ทุกคนมีโอกาสทั้งแพ้และชนะ มีคนได้และมีคนเสียที่ชัดเจน เมื่อกระทรวงสาธารณสุขแพ้คดี ครอบครัวคนไข้ชนะคดี หากผู้ป่วยแพ้คดี ภาระที่เกิดครอบครัวผู้ป่วยก็ต้องรับไป และก็นับว่าน่าเห็นใจผู้พิพากษาที่ต้องตัดสินใจในกรณีที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ ย่อมมีความทุกข์ไม่น้อย

อดีตที่ผ่านมา หากผู้ป่วยหรือญาติชนะคดี ได้เกิดผลกระทบกับทุกฝ่ายทั้งในระดับนโยบาย และการปฏิบัติ เช่น กรณี  อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ที่ชนะคดีในศาลชั้นต้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมายและถ่ายทอดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสู่วงการวิชาชีพจนเป็นบาดแผลกับผู้ป่วย แต่เมื่อผู้ป่วยแพ้คดีในศาลอุทธรณ์ก็ได้สร้างความทุกข์ บรรยากาศการไม่ได้รับความเป็นธรรมกับผู้ป่วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่เสียงของญาติผู้ป่วยไม่ดังพอที่จะได้รับความสนใจจากสังคม หรือในกรณีนี้ที่แพ้คดีมาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่เมื่อชนะคดีในศาลฎีกา กระบวนการยุติธรรมก็ถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนักจากแพทยสภาและผู้ประกอบวิชาชีพ หากเป็นเหมือนกรณีคำพิพากษาด้านอื่นๆ คงไม่พ้นเจอข้อหาละเมิดอำนาจศาลไปแล้ว

หากสังคมไทยยังดำรงสถานการณ์เช่นนี้ไว้ ปรากฎการณ์เหล่านี้ก็จะยังดำรงอยู่เป็นระลอก เพราะการฟ้องคดีเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน ถึงแม้แพทยสภาจะมีอำนาจในการประสานงานให้ส่วนต่างๆ ไม่ไปให้การในศาล มีนักกฎหมายของผู้ประกอบวิชาชีพเข้าไปสนับสนุนการทำคดี การต่อสู้เพียงลำพังของญาติและคนไข้ก็ได้รับความเห็นใจไม่น้อยจากฝ่ายต่างๆ

ในต่างประเทศมีระบบกฎหมายที่ช่วยลดการฟ้องร้องแพทย์ ส่วนคนไข้หรือครอบครัวได้รับการดูแลความเสียหาย ความพิการ การสูญเสียชีวิต ที่เรียกว่า No - fault liability ขึ้น ซึ่งมีใช้ในหลายประเทศ โดยใช้หลักการว่า ความเสียหายที่เกิดจากการรับบริการสาธารณสุข ไม่ได้มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ความผิดพลาดเป็นเรื่องคู่กันกับมนุษย์ ทรัพยากรที่ไม่เพียงพอของโรงพยาบาล ความเชี่ยวชาญ ภาวะการทำงานหนักของผู้ประกอบวิชาชีพ ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยได้ การชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ควรมีระบบกลไกในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ประเทศ สวีเดนนิวซีแลนด์ อังกฤษ ถือว่าการที่ผู้ป่วยได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์นั้นเป็นอุบัติภัย กฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่เกี่ยวกับการกระทำของแพทย์ว่า “ประมาทหรือไม่ประมาท” เพราะฉะนั้น กฎหมายประเภทนี้ จึงมองถึงความเสียหายและมีการชดเชยเท่านั้น โดยจะเป็นการลดการฟ้องร้องทางลงได้ ฉะนั้น การป้องกันการฟ้องร้องแพทย์โดยการออกกฎหมายให้มีการเยียวยาตามหลักการดังกล่าวน่าจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะไม่ต้องมีการพิจารณาว่าแพทย์จะมีความผิดหรือไม่ แต่เมื่อมีผู้เสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการรักษาก็ได้รับการเยียวยาดูแล

ในประเทศไทย เครือข่ายผู้ป่วย องค์กรด้านสุขภาพ และองค์กรผู้บริโภค ได้มีการผลักดันยกร่างกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2550 โดยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ 1) การชดเชยความเสียหายจากบริการสาธารณสุขโดยไม่พิสูจน์ถูกผิด 2) การลดการฟ้องร้องระหว่างแพทย์ และคนไข้และ 3) การนำความเสียหายที่เกิดขึ้นปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุข และประชาชนได้เข้าชื่อกัน 10,000 รายชื่อ เสนอกฎหมายต่อรัฐสภาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 แต่ก็ถูกคัดค้านโดยแพทยสภา และได้มีร่างกฎหมายของแพทย์เข้าชื่อกันในการเสนอกฎหมายฉบับนี้ด้วย เมื่อปีพ.ศ. 2554 รัฐสภาได้มีมติเห็นชอบให้บรรจุร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 แล้ว แต่ยังไม่ได้รับพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทั้งรัฐบาลอภิสิทธ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีผลให้ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับตกไปหลังรัฐประหารปัจจุบัน

ปีพ.ศ. 2557 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้เสนอบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง แนวทางการตรากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหาย จากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธาน สภาปฏิรูป เพื่อพิจารณา ล่าสุด ปีพ.ศ.2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้เห็นชอบส่งร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และครม.ได้นำส่งกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณา แต่ยังไม่มีความคืบหน้าของกระทรวงสาธารณสุขจนถึงปัจจุบัน

โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ถอยมาหลายก้าว และเปลี่ยนแปลงชื่อกฎหมาย ยึดหลักการที่ทุกฝ่ายน่าจะรับได้จากร่างของกระทรวงสาธารณสุข กฤษฎีกา และคปก. ให้ความคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับผลกระทบจากการให้บริการ การทำสัญญาประนีประนอมไม่ฟ้องคดีหากได้รับการเยียวยา หรือการฟ้องคดีจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีในการขอรับเงินชดเชยตามร่างกฎหมายฉบับนี้ก่อน จึงจะฟ้องคดีต่อศาลได้ ในกรณีที่ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว ศาลมีอำนาจ ไม่รับคดีไว้พิจารณา เป็นต้น (อ่านรายละเอียดได้จาก http://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_news.php?nid=30546 )

ท้ายสุดหวังว่ากระทรวงสาธารณสุข จะเร่งดำเนินการจัดทำกฎหมายฉบับนี้โดยเร็วเพื่อลดความขัดแย้งความทุกข์  ของทั้งแพทย์ คนไข้และครอบครัว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net