15 เม.ย. 2559 เมื่อวันที ่14 เม.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทย รายงานว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ผ่านพ้นไปด้วยอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 บรรยากาศโดยรวมยังซึมต่อเนื่อง เนื่องจากภาคครัวเรือนยังมีความกังวลเศรษฐกิจโดยรวม และการหารายได้ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอน ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น และการส่งออกที่ยังอ่อนแอ ทำให้ไตรมาส 1 ผ่านไปแบบประคองตัว
ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวยังกระทบต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ให้ฟื้นตัวได้ลำบาก แม้จะมีความหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 3 ของรัฐบาล ด้วยการเติมเงินให้ประชาชนในระดับฐานราก และการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล แต่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่า สัญญาณเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ทำให้สำนักวิจัยทั้งรัฐและเอกชนต่างปรับลดจีดีพีปีนี้ลง จากที่เคยมองโตร้อยละ 3-3.5 ปรับลงมาเหลือต่ำกว่าร้อยละ 3 และยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงแรง อาจฉุดจีดีพีปีนี้โตต่ำต่อเนื่อง
นักวิชาการประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ยังไม่ฟื้น
ศุลกากรหนุนเอกชนตั้งเขตปลอดอากรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ขณะที่วันนี้ (15 เม.ย.59) กุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ได้ออกประกาศกรมศุลกากรช่วงปลายเดือนมีนาคมาที่ผ่านมา ในการขอใบอนุญาติเขตปลอดอากร ได้แก้ไขข้อกำหนดให้ต่างจากเดิมในปี 46 เนื่องจากที่ผ่านมาภาคเอกชนรายใดมาขอใบอนุญาติ จะพิจารณาให้ตามคำขออนุญาติ จึงทำให้กระจายไปทั่วไม่เป็นหมวดหมู่ จึงร่างประกาศใหม่ กำหนดให้เขตปลอดอากร ต้องตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และต้องประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น นวัตกรรม อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมซุบเปอร์คลัสเตอร์ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น อุตสาหกรรมการบิน หุ่นยนต์ สุขภาพ ไบโอชีวภาพ เพื่อต้องการส่งเสริมให้เอกชน และหากนิติบุคคลมาจดทะเบียนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจะลดขนาดมูลค่าการจดทะเบียนจาก 50 ล้านบาทลดเหลือ 10 ล้านบาท
สำหรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เดินหน้าไปหลายพื้นที้ด้วยการปรับปรุงพื้นที่ด่านศุลกากร สำนักงาน รองรับพื้นที่ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ด่านสะเดา เร่งพัฒนาพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ รองรับผู้ประกอบการเข้าไปตั้งโรงงานในเขตอุตสาหกรรม ขณะนี้เตรียมเปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ส่วนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ได้เริ่มเจรจากับประชาชน เพื่อจ่ายชดเชยให้กับประชาชนในพื้นที่ และสร้างอาการสำนักงานศุลกากรแม่สอด ส่วนภาคตะวันออกทั้ง อ.อรัญประเทศและคลองใหญ่ ยอมรับว่าต้องหาข้อยุติร่วมกับกัมพูชา เพื่อต้องกัมพูชามีความพร้อมในการพัฒนาร่วมกัน เมื่อภาคเอกชนเข้าไปตั้งอุตสหากรรมในเขตพื้นที่ดังกล่าว จะต้องใช้ระบบไร้เอกสาร การเชื่อมโยงข้อมูลการผลิต การส่งออก นำเข้าสินค้า กับกรมศุลกากรอย่างเป็นระบบ