Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ขบวนประชาชนก่อนรัฐประหารปี 2549 ที่ชูคำขวัญหรือวาทกรรมแบบ ‘ประชาชนต้องกำหนดอนาคตตนเอง’ ‘ประชาชนต้องมาก่อน’ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ รวมถึงข้อทบทวน ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือข้อค้นพบจากงานศึกษาวิจัยของปัญญาชนสาขาต่างๆ ที่พยายามแสวงหา ‘ความเป็นธรรมทางสังคม’ หรืออะไรอื่นทำนองนี้ เป็นอะไรที่ดูดี จับต้องได้ มีสีสันและความหวังถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ก็ตาม แต่ขบวนประชาชนหลังรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ที่ยังคงชูคำขวัญหรือวาทกรรมดังกล่าว เป็นอะไรที่ย้อนแย้งถึงขั้นวิกลจริต ไม่ใช่เพราะคำขวัญหรือวาทกรรมดังกล่าวล้าสมัยตกยุคไปแล้ว มันยังคงเป็นคำขวัญหรือวาทกรรมที่ทันสมัยอยู่เช่นเดิม แต่การกระทำของขบวนประชาชนและปัญญาชนที่หันไปสนับสนุนรัฐประหารต่างหาก ได้ทำให้มันกลายเป็นคำขวัญหรือวาทกรรมแบบจับต้องไม่ได้และไร้ความหวังอีกต่อไปโดยสิ้นเชิง

ส่วนใหญ่แล้วในขบวนประชาชน โดยเฉพาะที่ทำงานกับชาวบ้านเพื่อติดตามนโยบาย โครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของรัฐและทุน มีความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อทำการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยต่อเรื่องดังกล่าวที่สัมพันธ์กับอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนเป็นอย่างดี มีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการเมือง-ราชการ-ทุนเกี่ยวข้องกันอย่างไรต่อการผลักดันนโยบาย โครงการพัฒนาและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน

แต่เป็นเรื่องน่าแปลก ตรงที่ในระดับความคิด ขบวนประชาชนมีความเข้าใจในความสัมพันธ์ของอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนเป็นอย่างดี แต่ในระดับการกระทำกลับเห็นการปฏิบัติและเคลื่อนไหวไม่สอดคล้อง กล่าวคือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนไม่สามารถหลุดออกมาจากเอกสารงานค้นคว้า ศึกษา วิจัยได้ มันยังคงเป็นความรู้ที่อยู่แค่ในงานเขียน งานประชุมสัมมนาและบ่นรำพึงในใจ แทบจะไม่เคยเห็นหรือมีน้อยมากที่พวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนจะสร้างกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนอย่างจริงจังให้กับขบวนประชาชน

บทรำพึงที่พบเห็นบ่อยมากในขบวนประชาชนก็คือ การตัดพ้อด้วยความท้อแท้หรือไม่ก็ครุ่นคิดเพื่อจะหาหนทางใหม่หรือฝ่าทางตันอยู่เสมอว่าขบวนประชาชนได้เคลื่อนไหวจนติดเพดานของอำนาจรัฐแล้ว ในทางอำนาจฝ่ายบริหารก็เคลื่อนไหวกดดันจนได้มติคณะรัฐมนตรี แต่กลับถูกตระบัดสัตย์อยู่เสมอกับความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหา ในทางอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเสนอร่างกฎหมายฉบับประชาชน แต่กลับถูกแก้ไขเนื้อหาเสียจนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิม ในทางอำนาจฝ่ายตุลาการก็ถูกกลั่นแกล้งจากการถูกดำเนินคดีและระบบเจ้าขุนมูลนายของตุลาการที่ดูถูกเหยียดหยามประชาชนจนต้องติดคุกติดตารางหรือโดยทำทัณฑ์บน ในทางอำนาจฝ่ายเถื่อนก็บาดเจ็บ พิการและล้มตายจากการข่มขู่ คุกคาม ทำร้ายร่างกายและลอบฆ่า

ด้วยความคิดเช่นนี้เอง จึงคล้ายกับจะมีบทสรุปในทำนองว่า ไม่ว่าจะครุ่นคิดเพียงใดก็ไม่สามารถมีหนทางอื่นอีกที่จะฝ่าทางตันได้ นอกเสียจาก ‘อำนาจพิเศษ’ ที่สามารถบันดาลให้ความตีบตันของขบวนประชาชนได้รับการทะลุทะลวงออกไปจากข้อจำกัดและอำนาจของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง

ขบวนประชาชนเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกที่อยู่ส่วนบนหรือมีบทบาทชี้นำในขบวนประชาชนจึงโหยหา เข้าร่วม สนับสนุนรัฐประหารทั้งสองครั้งล่าสุด เพราะเห็นว่ารัฐประหารจะทำให้อำนาจรัฐของรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งเกิดสภาวะโกลาหล วุ่นวาย ชะงักงัน หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงหรือยุติยกเลิกต่อนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนต่อพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานเฝ้าติดตามอยู่

รวมทั้งจะทำให้เกิดช่องทางใหม่ที่ลัดและพิเศษ ถือว่าเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสในการเชื่อมประสานกับผู้ขึ้นมามีอำนาจจากรัฐประหารเพื่อนำเสนอและให้ยุติปัญหาจากนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนในพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานเฝ้าติดตามอยู่

ตรงจุดนี้เอง มีความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกิดขึ้น เนื่องจากว่าพวกที่อยู่ส่วนบนหรือมีบทบาทชี้นำในขบวนประชาชนกลับสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนอย่างจริงจังให้กับขบวนประชาชนได้ จนสามารถชี้นำ เกณฑ์และทำความเข้าใจกับมวลชนในพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นทำงานเฝ้าติดตามอยู่ให้เข้าร่วม (หรือถ้าไม่สามารถเข้าร่วมได้ก็คล้อยตามเห็นด้วยและมีบทบาทสนับสนุนอยู่ในพื้นที่) กับการชุมนุมเพื่อสนับสนุนและเชื้อเชิญให้ทหารออกมาทำการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งออกไป ในรัฐประหารทั้งสองครั้งล่าสุด

แต่สิ่งที่ได้กลับไม่คุ้มเสีย รัฐประหารไม่เพียงแค่ ‘ไม่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง’ และทำลายการเมืองในส่วนของอำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการตามที่ขบวนประชาชนคาดหวังต้องการ แต่มันยังได้ทำลายการเมืองของขบวนประชาชนที่อยู่นอกระบบเลือกตั้ง/รัฐสภา ซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรงและการเมืองบนท้องถนนเสียจนย่อยยับด้วยการออกคำสั่งที่มีสถานะเป็นกฎหมายกดขี่คนยากคนจนและคนเล็กคนน้อยในสังคมหนักข้อเสียยิ่งกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งจะสามารถกระทำได้ เช่น การออกคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557, 66/2557 และ 4/2558 [1] เพื่อบังคับใช้แผนแม่บทป่าไม้ฯ[2] ในการทวงคืนผืนป่าโดยอ้างการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารขึ้นมาบังหน้าด้วยการเผา ทำลาย ตัด โค่นพืชผลการเกษตร ยึดที่ดินคืนและจับกุมดำเนินคดีโทษฐานบุกรุกทำลายป่าและจับจองที่ดินทำกินเฉพาะกับประชาชนคนเล็กคนน้อยซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ละเลยที่จะปฏิบัติกับผู้มีที่ดินรายใหญ่ในกรณีเดียวกันแบบเดียวกัน

การประกาศใช้กฎหมายห้ามชุมนุม หรือพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่ห้ามการชุมนุมแทบทุกกิจกรรมเคลื่อนไหวของขบวนประชาชน จนไร้ซึ่งเสรีภาพและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมกับรัฐในการกำหนดนโยบายและพัฒนาบ้านเมือง

การเข้าไปข่มขู่ คุกคาม เรียกไปปรับทัศนคติ ฟ้องคดี จับกุมคุมขังและสั่งห้ามประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศให้หยุดเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชนและการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุน 

การออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2559 และ 4/2559[3] ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในเขตเศรษฐกิจพิเศษและในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2559[4] เพื่อยกเว้นโครงการด้านคมนาคมขนส่ง โรงไฟฟ้าถ่านหิน การสร้างเขื่อนและชลประทาน ฯลฯ สามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้ EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อน

ล่าสุดออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ลงวันที่ 29 มีนาคม 2559 ที่ขยายอำนาจของทหารขึ้นมาเป็นองค์กรมาเฟียโดยแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามแทนตำรวจ และกำหนดกระบวนการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาขึ้นใหม่ที่มีลักษณะพิเศษหรือเกินไปกว่ากฎหมายอาญากำหนดให้กระทำได้ โดยมีอำนาจเรียกรายงานตัว จับกุม ตรวจค้น ควบคุมตัวและยึดหรืออายัดทรัพย์ของประชาชนโดยตรงได้ ซึ่งคงส่งผลโดยตรงต่อการกวาดจับประชาชนที่ต่อต้านคัดค้านนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนด้วยอย่างแน่นอน เป็นต้น

ภาวะของการหนีเสือปะจระเข้เช่นนี้ ก่อให้เกิดคำถามในทางเสื่อมและความขัดแย้งร้าวลึกในขบวนประชาชนว่า ทำไมขบวนประชาชนไม่ยืนหยัด เคียงข้าง ต่อสู้เพื่อ (แต่กลับอยู่ขั้วตรงข้ามหรือเป็นปฏิปักษ์กับ) ประชาธิปไตย?

อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ขบวนประชาชนทำการสนับสนุนรัฐประหาร?

ทำไมขบวนประชาชนถึงไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับขบวนการประชาธิปไตย หรือต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ขับไล่รัฐประหาร แต่กลับต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับขบวนการชาตินิยม นิยมอำนาจทหารและอนุรักษ์นิยมเพื่อขับไล่ประชาธิปไตยแทน?

เหตุที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพราะว่าขบวนประชาชนได้ประสบพบเจอกับความเลวทรามในรูปแบบและวิธีการที่ไม่ต่างกันระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งกับรัฐประหาร แต่ทำไมขบวนประชาชนถึงสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างจริงจังเกี่ยวกับความเลวร้ายของความสัมพันธ์ทางอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนจนสามารถเข้าร่วม (หรือถ้าไม่สามารถเข้าร่วมได้ก็คล้อยตามเห็นด้วยและมีบทบาทสนับสนุนอยู่ในพื้นที่) กับการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนนำมาสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557 ตามลำดับ ได้

แต่ทำไมกับความเลวทรามยิ่งกว่าหลายเท่าที่เกิดขึ้นจากรัฐประหารถึงไม่สามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างจริงจังในขบวนประชาชนเกี่ยวกับด้านที่เลวร้ายของความสัมพันธ์ของอำนาจ กลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันของรัฐประหาร-ราชการ-ทุนเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ได้

และหากมีคำถามตอบโต้ในเชิงหลบเลี่ยงว่า ขบวนประชาชนเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่มีพลังหรือศักยภาพพอต่อการต่อต้านรัฐประหารจริงหรือ? คำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ ไม่ควรกังวลในสิ่งนั้น ภารกิจของขบวนประชาชนมีแต่การเผยความจริงให้ปรากฏ ก็ในเมื่อความคิดต่อการเข้าร่วมขับไล่รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ล้วนมาจากความคิดเห็นที่เห็นว่าอำนาจทางการเมืองที่แข็งแกร่งของรัฐบาลทั้งสองสามารถผลักดันนโยบาย โครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าข้างรัฐและทุนเสียจนทำให้ประชาชนไม่มีพื้นที่ทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจในการมีส่วนร่วมพัฒนาบ้านเมืองร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ และเห็นร่องรอยการทุจริตคอร์รัปชันเต็มไปหมด ก็จงคิดกับรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ให้เหมือนกัน หรือพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ จงคิดกับรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ให้มากกว่าอีกหลายเท่าจากที่คิดกับรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ เพราะอำนาจจากรัฐประหารในยุคเผด็จการทหาร คสช. นั้นรุนแรง แข็งกร้าว กดขี่ ข่มเหง คุกคาม ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อนโยบาย โครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนมากยิ่งกว่า

ดังนั้น จงให้ความรู้กับขบวนประชาชนเพื่อประกาศท่าทีให้ชัดเจนต่อการต่อต้านรัฐประหารให้เหมือนกับที่ให้ความรู้แก่ขบวนประชาชนในการออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์นั่นแหละ

 

   
[1]  หมายถึง คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557 คำสั่ง คสช. ที่ 67/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2558 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวม ลงวันที่ 8 เมษายน 2558
[2]  แผนแม่บทป่าไม้ฯ หรือชื่อเต็มว่า ‘แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2557’ จัดทำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อม, พ.ศ. 2557
[3]  หมายถึง คำสั่งหัวหน้าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 20 มกราคม 2559 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ลงวันที่ 20 มกราคม 2559
[4]  หมายถึง คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2559 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 7 มีนาคม 2559
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net