Skip to main content
sharethis
เครือข่าย รปภ. ร้อง สนช.แก้ กม.ธุรกิจรักษาความปลอดภัย หลังได้รับผลกระทบ เหตุพนง.ส่วนใหญ่ไร้วุฒิ ม.3/กยศ.ลดเบี้ยปรับ 100% แก่ผู้กู้ที่จะปิดบัญชี/ทอ. เร่งสอบวิชาการ - สมรรถภาพนักบินหญิง คาดประกาศผลภายใน 18 พ.ค. นี้ ก่อนฝึกเข้ม 6 เดือน ก่อนประจำการภายในสิ้นปี/รัฐบาลขยายเวลาสมัคร กอช.ได้ในวันเสาร์-อาทิตย์/สปส.เผยผู้ประกันตนมาตรา 39 พ้นจากระบบประกันสังคมกว่า 3 แสนคน คาดมีหลายหมื่นคนพ้นระบบประกันสังคมไปเลย เสนอชงรัฐบาลออกกฎหมายดึงกลับเข้ามาตรา 39/ฯลฯ
 
เครือข่าย รปภ. ร้อง สนช.แก้ กม.ธุรกิจรักษาความปลอดภัย หลังได้รับผลกระทบ เหตุพนง.ส่วนใหญ่ไร้วุฒิ ม.3 
 
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 เมษายน ที่รัฐสภา เครือข่ายผู้ประกอบการและสมาคมผู้บริหารงานรวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย นำโดยนายวัชรพล บุษมงคล ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านทางนพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สนช. และคณะ เพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขปรับปรุงพ.ร.บ.ธุรกิจรักษาความปลอดภัยพ.ศ.2558 ที่มีปัญหาในทางปฏิบัติ และส่งผลกระทบต่อผู้ทำงานและผู้ประกอบการ โดยนายวัชรพล กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องจบการศึกษาภาคบังคับ หรือ ม.3 ซึ่งปัจจุบันผู้ที่จบม.3 มีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งการศึกษาภาคบังคับได้เริ่มต้นบังคับใช้เมื่อปี 2545-ปัจจุบัน มีผู้จบการศึกษาภาคบังคับมีอายุปัจจุบันประมาณ 28 ปี แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่ อายุประมาณ 30-50 ปี จึงไม่เพียงพอกับการเข้ามาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย และการขอใบอนุญาตเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่กำหนดระยะเวลา 60 วัน มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะไม่เสร็จตามกำหนดเวลา ส่งผลกระทบต่อการผลิตพนักงานรักษาความปลอดภัย รวมทั้งผู้ที่จะมาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องได้รับการอบรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแต่คนที่มาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นส่วนใหญ่มีฐานะยากจน จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้ามาเพราะมีต้นทุนสูง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจรักษาความปลอดภัย และกระทบต่อบุคคลที่จะเข้ามาทำงาน รวมถึงสถานประกอบการต่างๆ ทางเครือข่ายจึงเห็นว่าต้องมีการปรับปรุงแก้ไขในหลายมาตรา จึงขอให้สนช.ช่วยเหลือ
 
ด้าน นพ.เจตน์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น สนช.จึงไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้ แต่จะเสนอเรื่องให้กับประธานสนช.ให้นำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาขอประชาชนผู้ประกอบอาชีพและปรับปรุงพ.ร.บ.ดังกล่าว โดยขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่อาจจะต้องมีมาตรการเยียวยาความเดือดร้อน
 
 
กยศ.ลดเบี้ยปรับ 100% แก่ผู้กู้ที่จะปิดบัญชี
 
น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการชำระหนี้ตามที่ กยศ. เสนอ โดยจะลดเบี้ยปรับ 100% ให้แก่ลูกหนี้ที่มีความประสงค์จะปิดบัญชี โดยผู้มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว สามารถยื่นความจำนงได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงเดือนกันยายน 2559
 
อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ กยศ. จัดโครงการรณรงค์ชำระหนี้ และมีผู้สอบถามเข้ามามากว่า หากไม่ได้ทำงานอยู่กับองค์กรนายจ้าง หรือ องค์กรนายจ้างไม่ได้เข้าร่วมโครงการหักบัญชีเงินเดือนกับ กยศ. จะทำอย่างไรถึงได้รับการลดเบี้ยปรับเช่นเดียวกัน จึงเสนอมาตรการนี้ให้คณะกรรมการ กยศ. พิจารณา เพื่อจูงใจคนกลุ่มดังกล่าวให้มาชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีส่วนลดเบี้ยปรับให้เฉพาะผู้ที่ประสงค์จะปิดบัญชีเท่านั้น ไม่มีส่วนลดเบี้ยปรับให้แก่ผู้ที่ชำระหนี้ตามปกติ
 
ส่วนกรณีที่ กยศ. จะออกมาตรการไม่ต่ออายุบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่กู้ยืม กยศ. ที่ไม่ชำระเงินคืนเงินให้แก่กองทุนฯ นั้น ยืนยันว่า กยศ. ไม่มีนโยบายเรื่องดังกล่าว เพียงแต่อยากให้มีการบันทึกข้อมูลของผู้กู้ กยศ. ลงในบัตรประชาชน เพื่อให้ง่ายต่อการติดตาม และไม่มีปัญหาเหมือนเช่นที่ผ่านมา
 
สำหรับข้อมูลล่าสุดนั้น กยศ. มีผู้กู้ยืมเงิน ทั้งสิ้น 4,612,978 ราย จำแนกเป็น ผู้ที่กำลังศึกษา หรือ อยู่ระหว่างปลอดหนี้ 2 ปี จำนวน 1,079,170 ราย ผู้กู้ที่ชำระหนี้เสร็จสิ้น จำนวน 420,240 ราย ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ จำนวน 3,073,535 ราย ผู้กู้เสียชีวิต หรือทุพพลภาพ 40,033 ราย โดยในกลุ่มผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ มีคนค้างชำระอยู่ จำนวน 1,931,565 ราย
 
 
เผยคนไทยลอบทำงานเกาหลีใต้ถูกส่งกลับ 30,000 ราย ล่าสุดแฝงตัวเป็นแฟนบอลถูกจับได้ ยันทำงานเกาหลีต้องแบบจีทูจีเท่านั้น
 
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน(กกจ.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีมีคนไทยแฝงตัวเป็นแฟนบอลทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ดลักลอบเข้าไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ประมาณ 50 คน ว่า จากการสอบถามข้อมูลจากอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน(ทูตแรงงาน)ในเกาหลีใต้ได้รับแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ ได้สัมภาษณ์คนไทยก่อนเข้าเมือง 10 คน และสงสัยว่าไม่ได้มาเพื่อการท่องเที่ยว แต่อาจจะลักลอบเข้ามาทำงาน จึงส่งตัวกลับไทย อีก 40 คนสามารถหลุดรอดไปได้ เพราะเป็นการสุ่มตรวจสอบ ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตไทยในเกาหลีใต้อยู่ระหว่างติดตามตัว
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวอีกว่า ในปี 2558 ด่านตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ได้คัดกรองคนไทยที่เดินทางเข้าเกาหลีใต้เนื่องจากปัจจุบันไม่ต้องใช้วีซ่า โดยมีคนไทยถูกส่งกลับจากการคัดกรองของด่านตรวจ 29,740 คน และมีผู้อยู่เกินเวลาที่กำหนดกว่า 50,000 คน ส่วนผู้ที่ต้องการไปทำงานเกาหลีใต้นั้นจะต้องไปด้วยวิธีการจัดส่งแบบรัฐต่อรัฐตามบันทึกข้อตกลงเท่านั้น โดยผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและคัดกรองจากนายจ้างเกาหลีใต้ ผ่านทดสอบภาษาเกาหลีและจัดอบรมก่อนเดินทาง ซึ่งตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่เกาหลีใต้โดยวิธีจัดส่งแบบรัฐต่อรัฐกว่า 26,000 คน ส่วนใหญ่ทำงานในฝ่ายผลิต ก่อสร้างและเกษตร ล่าสุดช่วงต้นปี 2559 จนถึงขณะนี้ กกจ.จัดส่งแรงงานไทยไปกว่า 600 คน ปีนี้ กกจ.ตั้งเป้าหมายจะจัดส่งให้ได้ 7,300 คนตามโควตาที่เกาหลีใต้จัดสรรให้มา
 
“การที่คนไทยอยากไปทำงานเกาหลีใต้เพราะได้รับเงินเดือนสูง แต่ละปีมีผู้สนใจเข้าทดสอบภาษาปีละ 20,000 คน แต่สอบผ่านเพียงแค่ 2,000 –3,000 คน ปัจจุบันมีคนไทยส่วนหนึ่งลักลอบเข้าไปทำงาน จึงขอฝากเตือนอย่าลักลอบเดินทางไปทำงานเพราะผิดกฎหมายเกาหลีใต้จะถูกจับและลงโทษ รวมทั้งติดแบล็กลิสต์ ไม่สามารถไปท่องเที่ยวได้ หากอยากไปจริงๆ ขอให้ไปโดยวิธีจัดส่งแบบรัฐต่อรัฐผ่านกระบวนอย่างถูกต้อง” นายอารักษ์ กล่าว
 
 
ทันตแพทยสภาจี้ สปส.เบิกทำฟันเท่าบัตรทอง
 
เมื่อวันที่ 21 เมษายน ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา เปิดเผย ภายหลังการประชุมคณะกรรม การทันตแพทยสภา วาระที่ 8 ครั้งที่ 2 ว่า ที่ประชุมได้มีวาระการพิจารณาเรื่องสิทธิทันตกรรม ในระบบสุขภาพของทั้ง 3 กองทุน โดยเมื่อเปรียบเทียบกันพบว่า ยังมีความเหลื่อมล้ำของการครอบคลุมบริการทันตกรรมที่แตก ต่างกันมาก ส่งผลกระทบต่อการ เข้าถึงบริการทันตกรรมของประ ชาชน โดยเฉพาะผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ยังคงเข้าไม่ถึงบริการทันตกรรมที่ครอบคลุม ทั้งนี้เนื่องมาจากการกำหนดสิทธิประโยชน์ทันตกรรมที่ค่อนข้างจำกัด มีเพียงการอุดฟัน, ถอนฟัน, ขูดหินน้ำลาย ซึ่งปัจจุบันกำหนดเพดานเบิกจ่ายค่าทันตกรรมเหล่านี้ไว้เพียง 600 บาทต่อปีซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่ในส่วนของการเบิกจ่ายค่าใส่ฟันเทียมยังจำกัดไม่เกิน 4,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการเบิกจ่ายที่ค่อนข้างยุ่งยาก ซึ่งผู้ประกันตนจะต้องสำรองจ่ายค่าหัตถกรรมไปก่อน กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้ารับบริการของผู้ประกันตนขณะนี้
 
ทพ.ไพศาลกล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามในการผลักดันโดยเครือข่าย ฟ.ฟันสร้างสุข, กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และเครือข่ายต่างๆ อาทิ สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศ เป็นต้น เพื่อให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรมให้ผู้ประกันตนได้รับบริการทันตกรรมเท่าเทียมกับผู้มีสิทธิ์ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยทันตแพทยสภามองว่า เรื่องการเข้าถึงบริการทันตกรรมเป็นเรื่องสำคัญมากต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งยังมีส่วนสำคัญต่อการป้องกันโรคต่างๆ ที่มาจากปัญหาสุขภาพในช่องปาก ดังนั้นประชาชนจึงควรได้รับบริการอย่างครอบคลุมและทั่วถึง และเพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในบริการทันตกรรม ทันตแพทยสภาจึงสนับสนุนให้มีการปรับสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในระบบประกันสังคม รวมถึงการปรับปรุงระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาเพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการที่ครอบคลุมและทั่วถึง
 
"เมื่อเปรียบเทียบสิทธิประ โยชน์ด้านทันตกรรมของทั้ง 3 ระบบ พบว่าผู้ประกันตนยังมีปัญ หาการเข้าถึงบริการทันตกรรมมากที่สุด เป็นระบบเดียวที่ผู้ประกันตนต้องร่วมจ่าย แต่มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ทันตกรรมน้อยที่สุดในช่วง 19 ปี หลังการดำเนินสิทธิประโยชน์ทันตกรรมในระบบ ขณะที่กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งมีการจัดตั้งในปี 2545 กลับมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ทันตกรรมได้อย่างครอบคลุมเช่นเดียวกับระบบสวัสดิการข้า ราชการ จึงเป็นความไม่เท่าเทียม ที่ต้องปรับแก้ไข" นายกทันตแพทย สภากล่าว
 
 
ยืดเวลาต่างด้าว กลับเข้าทำงานในไทย ถึง 25 เม.ย. แก้ปัญหาตกค้างชายแดน
 
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.59 นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาแรงงานชาวกัมพูชาเกือบหมื่นคนที่ตกค้างบริเวณชายแดน ไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาทำงานในไทยได้หลังเดินทางกลับประเทศต้นทางช่วงสงกรานต์ ตามที่มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือ เมียนมา ลาว และกัมพูชา เดินทางกลับบ้านได้แต่ต้องกลับเข้ามาก่อนวันที่ 20 เม.ย. ว่า ตอนนี้ทาง จ.จันทบุรี แม่ทัพภาคที่ 1 และฝ่ายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ดำเนินการแก้ปัญหานี้แล้ว โดยทางแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ทำเรื่องขออนุญาต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้ผ่อนปรนขยายเวลาเปิดให้แรงงานต่างด้าวกัมพูชาในพื้นที่นี้ซึ่งตกค้างเหลืออยู่ที่เดียว ให้เดินทางกลับเข้ามาทำงานในไทยได้แล้ว จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ให้ขยายไปจนถึงวันที่ 25 เม.ย.นี้ แต่จากที่ได้รับรายงานเมื่อช่วงเช้า การดำเนินการในพื้นที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และคาดว่าเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด 25 เม.ย. จะไม่มีแรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับภูมิลำเนาตกค้าง ขณะที่ด่านชายแดนฝั่งเมียนมา ลาว แรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศต้นทางขณะนี้เดินทางกลับเข้ามาทำงานในไทยแล้วโดยไม่มีปัญหาใดๆ
 
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมายอดแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาตินี้เดินทางกลับบ้านมีทั้งหมดกว่า 2 หมื่นคน โดยแรงงานกลุ่มนี้กลับไปร่วมประเพณีที่มีความสำคัญของประเทศตนเอง และถือว่าก็มีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับประเทศไทยด้วย ส่วนการแก้ปัญหาลักษณะนี้ช่วงเทศกาลต่อไปก็จะต้องมีการวางมาตรการล่วงหน้าให้มากกว่านี้
 
ขณะที่การดำเนินการช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาทุกพื้นที่ไม่มีปัญหา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องลงไปอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดีและเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน หรือ (อกนร.) ได้เห็นชอบจัดตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน รวมทั้งตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวตามที่กรมการจัดหางานเสนอ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน จะทำหน้าที่อบรม ให้ความรู้ข้อมูลการทำงานและการใช้ชีวิตในประเทศไทยให้แก่แรงงานต่างด้าว อีกทั้งคอยตรวจคัดกรองแรงงานต่างด้าวว่าถูกชักจูงหรือหลอกลวง หรือมีความพร้อมที่จะทำงาน ส่วนศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ปรึกษา รับทราบปัญหา และประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือ ซึ่งคาดว่าจะจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว ที่ จ.สมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระนอง สุราษฎร์ธานี สงขลา ตาก เชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ
 
 
รัฐบาลขยายเวลาสมัคร กอช.ได้ในวันเสาร์-อาทิตย์
 
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จะขยายเวลาการให้บริการพี่น้องประชาชนที่ต้องการสมัครเป็นสมาชิกกองทุน จากเดิมที่ให้บริการในวันจันทร์ ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-19.00 เป็นการให้บริการตามเวลาเปิด-ปิดของธนาคารแต่ละสาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้สามารถสมัครในวันเสาร์-อาทิตย์ได้ด้วยสำหรับสาขาธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่เปิดตามห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสำนักงานต่างๆที่ให้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์
 
“นโยบายนี้มีขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนสามารถสมัครเป็นสมาชิกกอช. ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มให้บริการระบบใหม่นี้ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ นับแต่เปิดรับสมัครสมาชิกกองทุน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 พบมียอดสมาชิกรวม 417,460 คน โดยมียอดเงินสะสม 641,289,996 บาท ยอดสมทบโดยรัฐบาล 316,812,524 บาท คิดเป็นจำนวนเงินกองทุนรวม 958,102,520 บาท” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
 
พล.สรรเสริญ กล่าวว่า สมาชิกกองทุนส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 51.2 ของจำนวนสมาชิกกองทุนทั้งหมด รองลงมาคือภาคกลาง ร้อยละ 19.7 และภาคเหนือ ร้อยละ 10.2 โดยหากจำแนกตามอาชีพของสมาชิกแล้ว พบว่า กลุ่มพี่น้องเกษตรกรเป็นกลุ่มที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 68.8 ของสมาชิกทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวนพี่น้องเกษตรกรกว่า 287,000 คน รองลงมาคือ อาชีพค้าขาย ร้อยละ 12.1
 
“นายกรัฐมนตรี รู้สึกยินดีอย่างมากที่เห็นพี่น้องเกษตรกรใช้ประโยชน์จากกองทุนจำนวนมาก เพราะเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล และกองทุนฯ คือการส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมสร้างหลักประกันในชีวิตให้ตนเอง เพื่อให้มีเงินเลี้ยงดูตัวเองเป็นประจำทุกเดือนเมื่อเกษียณอายุโดยรัฐบาลร่วมสมทบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้ยังพบว่า มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ร่วมเป็นสมาชิกประมาณ 9,000 คน ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่เห็นคนรุ่นใหม่ใส่ใจการออม ตั้งใจสร้างความหลักประกันในอนาคตให้ตัวเอง และที่สำคัญยิ่งออมเร็ว ยิ่งได้รับเงินเกษียณมากขึ้นตามระยะเวลาและจำนวนการออม” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
 
สำหรับยอดสมาชิกจำแนกเป็นการสมัครผ่านธ.ก.ส. จำนวน 224,828 ราย ธนาคารออมสิน 156,112 ราย ธนาคารกรุงไทย 27,616 ราย และโอนจากสำนักงานประกันสังคมอีก 10,224 ราย
 
 
ทอ. เร่งสอบวิชาการ - สมรรถภาพนักบินหญิง คาดประกาศผลภายใน 18 พ.ค. นี้ ก่อนฝึกเข้ม 6 เดือน ก่อนประจำการภายในสิ้นปี
 
พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงการเปิดรับสมัครนักบินหญิงในสังกัดกองทัพอากาศ ซึ่งสิ้นสุดการรับสมัครเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา ว่า หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก ทั้งการสอบทางวิชาการและการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย คาดว่าจะทราบผลในวันที่ 18 พฤษภาคม และผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ 5 คน จะเข้ารับการฝึกทักษะเป็นทหารอากาศ 3 เดือน เพื่อติดยศเป็น ว่าที่เรืออากาศตรี จากนั้นจะเข้าสู่การฝึกทักษะการบิน ทั้งยุทธวิธีการบิน และการยังชีพ เหมือนกับนักบินชาย โดยใช้เครื่องบินลำเรียง C130 อีก 3 เดือน จึงจะได้ยศ เรืออากาศตรี ดังนั้นคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้กองทัพอากาศจะมีนักบินหญิงเข้าปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดกองบิน 6, 7, 46
 
 
ไทยพาณิชย์ห่วงชั่วโมงทำงานลดคนผิดนัดชำระหนี้เพิ่ม
 
น.ส.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสูงสุด ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยรายงานของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (อีไอซี) ที่มีการประเมินเศรษฐกิจไทยล่าสุด ว่า น่าจะคงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ปีนี้อยู่ที่ 2.5% แต่ก็ยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่โตลดลง จากแนวโน้มการส่งออกที่อาจจะต่ำลงและการลงทุนภาคเอกชนที่อาจจะขยายตัวตามการลงทุนรัฐได้น้อยกว่าคาด เพราะที่ผ่านมารัฐมีการเร่งลงทุนก็จริง แต่ยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯและอยู่ในรายการลงทุนขนาดเล็ก ทำให้ส่งผ่านสู่เศรษฐกิจได้น้อย ซึ่งยังต้องติดตามต่อไป โดยการประเมินรอบนี้เราคาดการส่งออกจะลดลงจาก 0% เป็นติดลบ 2.1% และคาดการลงทุนภาคเอกชน จาก 1.4% ลดลงเหลือ 1.2%
 
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าห่วงคือ แม้แรงงานไทยจะมีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 1% มานาน ล่าสุดเดือนก.พ.ปีนี้อยู่ที่ 0.9% แต่โดยภาพรวมแรงงานมีชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ทั้งในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร โดยเฉพาะในภาคบริการชั่วโมงทำงานล่วงเวลา (โอที) ลดลงถึง 3% เช่น โรงแรมและภัตราคาร เป็นต้น กลายเป็นภาวะความเสี่ยงรายได้ครัวเรือนชะงัก (Income Shock) ซึ่ง.ภาวะเช่นนี้เมื่อบวกกับปัญหาภัยแล้งและหนี้ครัวเรือน อาจทำให้เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ และทำให้การบริโภคโดยรวมลดลงได้ โดยรอบนี้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะลดลง จากเดิมที่คาดจะโต 1.4% เหลือ 1.9%
"กลุ่มแรงงานที่รายได้ลดลงมากที่สุดเป็นคนในภาคเหนือ ตะวันออก และตะวันตก ซึ่งอยู่ในภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เป็นกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท/เดือน เพราะมีหนี้ครัวเรือนในสัดส่วนที่สูงกว่า 60% ของรายได้ แต่กลุ่มนี้ไม่ใช่ลูกค้าของแบงก์พาณิชย์มากนัก และกลุ่มรายได้น้อยระดับถัดมาที่รายได้ต่อกว่า 15,000 / เดือน ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารัฐและสหกรณ์ก็เริ่มน่าห่วง" น.ส.สุทธาภากล่าว
 
 
เห็นชอบตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน ตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวแก้ปัญหาถูกหลอกลวง-ค้ามนุษย์
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน นายอารักษ์ พรหมณี ระบุว่าที่ประชุมคณะอนุกรรมการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานได้เห็นชอบจัดตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน รวมทั้งตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวตามที่กกจ.เสนอก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีโดยศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน จะทำหน้าที่อบรมให้ความรู้ข้อมูลการทำงาน การใช้ชีวิตในไทย รวมทั้งคอยตรวจคัดกรองแรงงานต่างด้าวว่าถูกหลอกลวงหรือพร้อมทำงาน จะจัดตั้งศูนย์แรกรับนี้ เช่น จ.สระแก้ว ส่วนศูนย์ร่วมบริการฯจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ปรึกษา รับทราบปัญหา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือซึ่งคาดว่าจะจัดตั้งศูนย์นี้ที่จ.สมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระนอง สุราษฎร์ธานี สงขลา ตาก เชียงใหม่
 
 
ก.อุตฯ คาดแก้ พ.ร.บ.โรงงานเสร็จกลาง พ.ค.
 
นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไขร่างพ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ.... ฉบับใหม่ เรื่องการกำหนดจำนวนแรงม้าของโรงงานอุตสาหกรรม ที่เข้าข่ายต้องขออนุญาตประกอบกิจการ จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) คาดว่า จะสรุปได้ภายใน 2 สัปดาห์นี้ คือกลางเดือน พฤษภาคม 2559 และเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป โดยกิจการที่มีจำนวนแรงม้าไม่สูงมาก ก็ไม่จำเป็นต้อง ขออนุญาตจาก กรอ. แต่ให้เป็นการควบคุม ของกระทรวงสาธารณสุข หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
 
"ปัจจุบันโรงอบขนมปัง โรงเย็บผ้า ที่มีการใช้เครื่องจักรขนาด 5 แรงม้า ก็จัดเป็น โรงงานที่ต้องขอนุญาตจาก กรอ. การแก้ พ.ร.บ. ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่ไม่ได้ใช้เครื่องจักรใหญ่ ก็ให้แจ้งท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่งขณะนี้กำลังหาข้อสรุปที่เหมาะสม ว่าควรจะเริ่มที่ 25 แรงม้าขึ้นไป ให้มา ขออนุญาต หรือ 50 แรงม้าขึ้นไป จึงจะเหมาะสม" นางอรรชกา กล่าว
 
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน กิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบการด้วย สอท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ได้ยื่นข้อเสนอแนะการแก้ พ.ร.บ.ไปยัง กรอ. ในส่วนของนิยามคำว่า "โรงงาน" ให้มีกำลังเครื่องจักร 50 แรงงานขึ้นไป หรือมีคนงาน 50 คนขึ้นไป จากเดิมที่ กรอ.จะแก้ไขกำลังเครื่องจักร 25 แรงงานขึ้นไป หรือมีคนงาน 25 คนขึ้นไป โดยเปิดโอกาสให้กระทรวงมีอำนาจดูแลอุตสาหกรรมที่มีแรงงานต่ำกว่า 50 คนขึ้นไป ที่มีความสุ่มเสี่ยงประกอบกิจการ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้ กรอ.เข้าไปตรวจสอบได้ เช่น โรงงาน เครื่องพ่นสี
 
 
สปส.เผยผู้ประกันตนมาตรา 39 พ้นจากระบบประกันสังคมกว่า 3 แสนคน คาดมีหลายหมื่นคนพ้นระบบประกันสังคมไปเลย เสนอบอร์ด สปส.-รมว.แรงงาน ชงรัฐบาลออกกฎหมายดึงกลับเข้ามาตรา 39
 
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน นายโกวิท สัจจวิเศษ บอกว่า กรณีข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2559 ของสภาองค์การลูกจ้าง 17 องค์กรจะยื่นนายกรัฐมนตรีวันที่ 1 พ.ค.นี้ ที่ขอให้ปฏิรูป สปส.โดยบัตรรับรองสิทธิสถานพยาบาลให้ใช้ได้ทุกโรงพยาบาล รวมทั้งให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่พ้นการเป็นผู้ประ กันตนสามารถเข้ามาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้ใหม่ ซึ่งตอนนี้มีผู้ประกันตนมาตรา 39 กว่า 1 ล้านคน ที่ผ่านมามีผู้ที่พ้นจากมาตรา 39 กว่า 3 แสนคน และคนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งกลับเข้าทำงานใหม่และอยู่มาตรา 33 บางส่วนเข้ามาตรา 40นายโกวิท บอกว่าส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่พ้นไปเลยคาดว่ามีหลายหมื่นคน แต่ สปส.จะต้องตรวจสอบว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และสาเหตุที่พ้นจากการเป็นผู้ประกันตนเพราะขาดส่งเงินสมทบเนื่องจากเหตุจำเป็นหรือมีความประสงค์ที่จะไม่อยู่ในมาตรา 39 อีกต่อไป หากมีข้อมูลที่ชัดเจนแล้ว จะเสนอและหารือต่อคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ด สปส.) ถ้าจะดึงกลับเข้าสู่มาตรา 39 ก็ต้องจัดทำร่าง พ.ร.บ.ให้ผู้ประกันตนที่พ้นไปสามารถกลับเข้าสู่มาตรา 39 โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือน เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว สปส.จะเสนอ รมว.แรงงาน เพื่อพิจารณานำร่าง พ.ร.บ.เสนอคณะรัฐมนตรีนายโกวิท บอกว่าส่วนข้อเรียกร้องให้บัตรรับรองสิทธิสถานพยาบาลใบเดียวสามารถใช้ได้ทุก รพ.นั้นเห็นว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ในส่วนของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กทม.และกระทรวงกลาโหม ซึ่ง สปส.จะศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าภายใน 3 เดือนได้ข้อสรุป
 
 
รวบผู้ต้องหาตุ๋นแรงงานทำงานแคนาดา พบก่อเหตุมานับสิบปี
 
ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 27 เมษายน พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.พลฑิต ไชยรส ผกก.3บก.ป. พ.ต.ท.อภิชาติ อภิชานนท์ พ.ต.ท.เมธา วงศ์อนันต์นนท์ พ.ต.ท.อรรถพล พานประทีป สว.กก.3บก.ป. แถลงผลการจับกุม นางรังศิมา ไชยนิคม หรือเจ๊ต้อย อายุ 47 ปี อยู่บ้านหมู่ 2 ต.ห้วยเตย อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี เลขที่ 949/2552 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 ข้อหาร่วมกันจัดหางานเพื่อไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนกลาง,หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานหรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหารายนี้ได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 135/5 หมู่ 2 ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
 
พ.ต.อ.พันธนะ กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์ร่วมกับนายเด่นภูมิ ทาแก้ว อายุ 42 ปี ชาวจ.หนองบัวลำภู และนางอุมารินทร์ จอมทรักษ์ อายุ 43 ปี ชาว จ.กาฬสินธุ์ สองสามีภรรยา ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ เปิดบริษัท รวมไทยสากล จำกัด ตั้งอยู่ที่อ.บรบือ จ.มหาสารคาม หลอกลวงแรงงานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ว่าสามารถจัดหางานเก็บผลไม้ที่ประเทศแคนาดา มีค่าตอบแทนและรายได้ดี แต่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรายละ 200,000 บาท เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินมาจ่ายให้แล้วกลับไม่ได้เดินทางไปทำงานตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด โดยบางรายถึงกับต้องนำที่ดินไปจำนอง เพื่อหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานดังกล่าวจนเกิดความเสียหายเป็นมูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท จากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหาร่วมกับพวก ก่อเหตุมานับตั้งแต่ปี 2547-ปัจจุบัน ในพื้นที่กว่า 5 จังหวัดของภาคอีสาน โดยมีคดีเกิดขึ้นนับ 10 คดี แต่บางคดีก็ขาดอายุความไปแล้ว
 
พ.ต.อ.พันธนะ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า เป็นพนักงานของบริษัทจัดหางานดังกล่าว ที่ผ่านมาจะออกชักชวนแรงงานที่มีความสนใจเดินทางไปทำงานยังประเทศแคนาดา โดยมีแรงงานเดินทางไปทำงานจริง 10 ราย ส่วนที่เหลือไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ อย่างไรก็ดี ตนจะได้ส่วนแบ่งจากจัดหางานดังกล่าวเป็นเงิน 20,000-50,000 บาท ส่วนเงินที่เหลือจะนำส่งให้กับสองสามีภรรยารายดังกล่าว แต่หลังจากเริ่มมีการแจ้งความดำเนินคดีนับตั้งแต่ปี 2550 ตนได้ย้ายสถานที่ทำงานโดยไปทำงานเป็นพนักงานนวดแผนโบราณ พนักงานทำความสะอาด แต่ยังคงหลอกชาวบ้านที่ต้องการเดินทางไปทำงานเช่นนี้อยู่ กระทั่งมาถูกจับกุมตัวในที่สุด
 
ทั้งนี้ทางชุดสืบสวน กก.3บก.ป.จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบสวนขยายผลการจับกุมว่ามีความเชื่อมโยงกับขบวนการหลอกลวงแรงงานเดินทางไปทำงานต่างประเทศรายอื่นๆ หรือไม่ ส่วนผู้ต้องหารายนี้จากการตรวจสอบประวัติพบว่ามีหมายจับติดตัวอยู่อีกถึง 6 หมาย ประกอบด้วย หมายจับศาลจังหวัดมหาสารคาม 2 หมาย,หมายจับศาลจังหวัดนครราชสีมา 2 หมาย,หมายจับศาลจังหวัดหนองบัวลำภู และหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ในความผิดตาม พ.ร.บ.แรงงานฯ เบื้องต้นนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี รับไว้ดำเนินคดีต่อไป
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net