คนพุทธ หวาดกลัวอิสลามจริงหรือ ?

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

[1] ชาวพุทธ หวาดกลัวอิสลามจริงหรือ ?

อันนี้ ตอบได้เลยครับว่า ไม่มีใครกลัวอิสลาม ... เพราะอิสลาม เป็นศาสนา เช่นเดียวกันกับศาสนาพุทธ และเหมือนกันกับทุกๆ ศาสนา ที่สอนให้คนเป็นคนดี เหมือนๆ กัน

แต่ด้วยเหตุการณ์ของโลกที่ผ่านมา เกิดการสู้รบกันไปทั่ว ก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ที่ทำให้เกิดการสู้รบ และการสู้รบนั้น เท่าที่ดูตามข่าวแล้ว ส่วนใหญ่อีกเช่นกันที่เกิดขึ้นในประเทศมุสลิม ที่นับถือศาสนาอิสลาม คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธก็ยังไม่ถึงขั้นกับมีความกลัวต่อศาสนาอิสลาม นะครับ

ต่อเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีคนมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดกระแสของการต่อต้านอิสลาม โดยมีการหยิบยกเอาเรื่องราวต่างๆ จากทุกมุมโลกที่มีการต่อสู้ หรือเกิดเป็นสงครามขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่าง แล้วหยิบเอาเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกเช่นกัน

อย่าว่าแต่ชาวมุสลิมอิสลามเลยครับ แม้แต่ชาวพุทธหรือคนศาสนาอื่นที่เข้ารับอิสลาม ก็สร้างความหวาดระแวง ได้เช่นกัน

แต่ เป็นความหวาดระแวงเท่านั้นนะครับ ไม่ใช้ความกลัว เมื่อมีการเสพข่าวสาร ก็หวาดระแวงว่า อิสลาม จะยึดครอง ในที่ต่างๆ เหมือนกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผมก็มองว่า ทุกๆ สังคมก็มีสิทธิที่จะหวาดระแวง ครับ โทษเขาไม่ได้เช่นกัน

ด้วยสังคมยุคดิจิตอล มีการหยิบยกเอาข่าวสารต่างๆ หรือแม้แต่บทความ มากมาย มาเผยแพร่ ทั้งทาง Facebook หรือแม้แต่ Line ก็มีการแชร์ข่าวสารกันเพื่อให้เกิดความหวาดระแวงเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดชนวนเหตุของความไม่เข้าใจกัน

ส่วนตัวแล้วคิดว่า ทุกสังคมทั่วโลก ทุกสาขาอาชีพ มีเหมือนกันหมด คือ มีดี มีไม่ดี ปะปนกันไป อยู่ที่เราจะเลือกนำเสนอ เลือกเสพอะไรเท่านั้นเองครับ

อีกส่วนหนึ่งคือ ยุคปัจจุบัน สติ สำคัญที่สุด ความคู่ไปกับความละเอียดของการคิด วิเคราะห์ ให้ดีๆ ไม่งั้นอาการของความหวาดระแวง จะเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดความ อคติ ได้แน่นอน

[2] เหตุใดชาวพุทธถึงปฏิเสธอิสลาม

ปัญหาของเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้พี่น้องคนไทยพุทธ และคนไทยมุสลิม เริ่มห่างกันเป็นระยะๆ เหตุการณ์ยิ่งเพิ่มขึ้น ระยะห่างยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ไม่ว่าคนไทยพุทธจะเพิ่มความห่าง เพราะความหวาดวิตกของพื้นที่ หรือความหวาดระแวงต่อคนไทยมุสลิม ก็ตามที ความห่างที่คนมุสลิมบางคน บางกลุ่มจำเป็นต้องห่างกับคนไทยพุทธ เพราะความหวาดระแวงกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ให้เราต้องไปมาหาสู่กัน

หลายพื้นที่ พี่น้องไทยพุทธ และมุสลิม ใช้วิธีการโทรศัพท์คุยกัน แทนการไปมาหาสู่กัน ด้วยเหตุผลเพื่อความสบายใจ และเพื่อความปลอดภัย

จนระยะห่างทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน กลายเป็นความไม่สบายใจที่จะพูดคุยกันในเรื่องของปัญหาที่เกิด ความปลอดภัยในพื้นที่บางพื้นที่ เกิดความจงเกลียดจงชังพี่น้องต่างศาสนา ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความจงเกลียดจงชังเกิดขึ้นมาพร้อมกับเหตุการณ์ความมั่นคง มาพร้อมกับเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง เรื่องราวความสูญเสียต่อเหตุการณ์ตากใบ หรือกรือเซะ

กรณีคนไทยพุทธที่เริ่มมีความจงเกลียดจงชัง เพราะเกิดกรณีสูญเสียของครอบครัวต่อการกระทำของกลุ่มคนบางกลุ่มเริ่มเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 ผมมีโอกาสได้คุยกับสุภาพสตรีที่ต้องสูญเสียสามีเนื่องในเหตุการณ์ความไม่สงบท่านหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่า ในอดีตของการสูญเสียสามีในขณะที่มีลูกเล็กๆ 2 คน ทำให้ลูกของเธอเกลียดมุสลิม เกลียดอิสลาม เอามากๆ แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลที่เธอสอนลูกของเธอ ทำให้ปัจจุบันลูกๆ ของเธอหมดสิ้นความเกลียด มีเพื่อนเป็นเด็กนักเรียนรุ่นเดียวกันที่เป็นมุสลิมซะด้วยซ้ำไป ลองมาฟังเรื่องราวของเธอกันครับ

เธอบอกว่า เมื่อวันอังคารที่ 12 มิ.ย.50 ตอนประมาณ 7 โมงเช้า สามีโทรมาถามว่าลูกแต่งตัวไปโรงเรียนหรือยัง ทานข้าวหรือยัง

8.30 โทรมาถามว่าแม่ (หมายถึงดิฉัน) ทานข้าวหรือยัง ลูกดื้อมั้ย อย่าลืมส่งของให้ด้วยนะ เป็นคำพูดสุดท้ายที่สามีได้สั่งกับเธอ

ตอนบ่าย ทางโรงงานถุงพลาสติก ที่สามีไปรับสินค้าโทรมาสอบถามว่า เปี๊ยก ไปขายของที่ไหน ฉันบอกว่าไปยะลาตั้งแต่วันจันทร์ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหน เขาบอกว่า รถขายถุงหิ้วโดนปล้น มีคนตาย 2 คน

ฉันรีบโทรหาสามี และลูกน้องมีคนรับโทรศัพท์แต่ไม่พูด ฉันรีบเช็คข่าวกับเพื่อนที่อยู่ในพื้นที่ เจ้านายที่มีเพื่อนเป็นตำรวจระดับผู้ใหญ่ในพื้นที่ก็รีบตรวจสอบข่าวให้

18.00 ทุกอย่างชัดเจน ฉันยังคงนั่งงงกับเหตุการณ์ เจ้านายเดินมาจับมือฉันไว้ว่า “ใช่คนที่เสียชีวิต คือเปี๊ยก จริงๆ และ เธอต้องยืนให้ได้ ต้องเข้มแข็ง เพราะเธอเป็นแค่เมีย เด็กอีก 2 คน และคนแก่อีก 2 คน คือพ่อกับแม่เค้า เค้าเจ็บยิ่งกว่าเธอ เพราะถ้าเธอล้ม เค้าเองต้องมาดูแลเธอทั้งๆ ที่เค้าเจ็บกว่า” มันทำให้หัวใจที่สับสน ต้องตั้งหลักยืนอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง แต่ฉันไม่กล้ากลับบ้านเพื่อไปบอกแม่ บอกพ่อ และบอกลูกๆๆ ฉันโทรหาน้องชายคนรอง บอกข่าวพี่ชายเค้า ให้เค้ารีบเดินทางกลับมาจากภูเก็ต เพื่อมาบอกแม่และพ่อ

คุณพ่อสามีโทรตามฉันกลับบ้านเป็นระยะๆ ทำไมยังไม่กลับ วันนี้ก็แปลกทำไมเปี๊ยกไม่โทรกลับบ้าน ฉันบ่ายเบี่ยงไป ว่าพี่เปี๊ยกคงยุ่ง สัญญาณไม่ดี ส่วนฉันติดงานด่วนที่บริษัท

เมื่อทุกคนมากันครบ ฉันไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึง ช่วงเวลาที่ทรมาณที่สุดคือ ช่วงที่จะต้องบอกพ่อและแม่ สามี ว่า ลูกชายเค้าเสียชีวิตแล้ว

วันที่ 13 มิ.ย 50 ฉันเดินทางไปรับศพสามีที่ไร้ศีรษะ โดยมีคุณกมล สุทธิวรรณโณภาส ที่เปรียบเหมือญาติผู้ใหญ่ของดิฉันและครอบครัวสามี ที่ ต. สามัคคี อำเภอรือเสาะ (ในวันนี้ ถ้าในวันนั้นที่ไปรับศพสามี ถ้าไม่มีลุงกมล ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่า ดิฉันจะไปอย่างไร เพราะ รือเสาะ อยู่ไหน ไปอย่างไร เจ้าหน้าที่บอกว่า ก็มาสิ อยู่ตรงนี้ตรงนั้น ดิฉันยังนึกถึงตลอดว่า ถ้ามาแล้ว ต้องมาตายอีกคน จะทำอย่างไร)

มาถึง สภ.รือเสาะ ร้อยเวรถามว่ารับได้ไหม ดูได้ไหม ไม่มีน้ำตาสำหรับฉัน สามีถูกมัดใส่กระสอบไม่มีศีรษะ มาเจอศีรษะอีกทีตอนรุ่งเช้า กลายเป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ รถยนต์ 1 คันที่ยังหาไม่เจอ ทางการบอกว่าเจอแล้วแต่เอากลับไม่ได้
(ปัจจุบัน ดีแม็กซ์ที่บรอนท์ ตอนครึ่ง ทะเบียน สงขลา คันนั้น ยังเป็นรถเฝ้าระวังทุกครั้งที่มีข่าว เรื่องคาร์บอม)

ตอนบ่ายฉันเดินทางไป รพ. นราธิวาส เพื่อยืนยันร่าง และศีรษะ

ฉันถือศีรษะช่วยพยาบาลเย็บศีรษะสามี อาบน้ำและใส่เสื้อผ้าพา กลับบ้าน ทุกอย่างช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน ความห่วงใยจากผู้ที่เกี่ยวข้องความช่วยเหลือในการเดินเรื่องทุกอย่าง ได้รับความสะดวกจากข้าราชการทุกฝ่าย ทั้งปลัด เจ้าหน้าที่ ร.พ. และเจ้าหน้าที่มูลนิธิในการพาสามีกลับบ้าน

เธอบอกว่า เธอดีใจที่หาศีรษะสามีเจอ และดีใจที่สามีไม่ถูกเผาทั้งเป็น ดีใจที่สามีเสียชีวิตก่อนถูกตัดศีรษะ ดีใจที่เป็นพ่อค้าและถูกยิง เพราะบางคนมีปืนก็ตาย แล้วก็ดีใจที่เขากลับบ้านมาทั้งตัว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าแผ่นดินไทยทำไมคนไทยเข้าไปไม่ได้

ฉันต้องไปรือเสาะอีกครั้งเพื่อติดต่อเรื่องเยียวยา เรื่องเงินช่วยเหลือ ....

วันหยุดยาวช่วงเข้าพรรษา ฉันถามลูกว่า “ลูกจะไปเที่ยวที่ไหนแม่จะพาไปหมดเลย” ลูกชายตอบว่า “จะไปหาพ่อที่รือเสาะ”

“แม่ครับ ไม่มีพ่อแม่เหงามั้ย” “ถ้ามีพ่อเราเล่นกันสนุกกว่านี้อีกแม่” ลูกชายถามฉัน ไม่มีคำตอบออกจากปากและจากหัวใจของแม่

ที่ผ่านมาลูกชาย ไม่เคยเห็นน้ำตาแม่ และแม่เองก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของลูก ในยามที่ถามหาพ่อ

ลูกจะบอกเสมอว่า “พ่อบอกว่าเป็นลูกผู้ชายตัองดูแลแม่ ดูแลน้อง “ ทุกวันนี้เราสามคนยังต้องอยู่เพื่อดำรงชีวิตต่อ เราเองต้องอยู่ให้ได้เหมือนที่พ่อสั่งไว้ คนหนึ่งคนที่ตายอย่างไม่มีคุณค่า ไม่รู้ว่าตายทำไม ทำไมต้องตาย ไม่มีคำตอบ เงินเยียวยาไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวเมือเปรียบเทียบกับหัวหน้าครอบครัว

เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อปี พ.ศ.2550 แต่เธอนึกเสมอว่า คนที่ก่อเหตุ คือคนไม่มีศาสนา เพราะฉะนั้น เธอสอนลูกว่า คนอิสลาม คือคนที่มีศาสนา เหมือนกันกับพ่อ ที่นับถือศาสนาพุทธ ที่สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน

เธอเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนน้องไปเที่ยว เมื่อ เดือนกรกฎาคม ปี 2550 น้องนั่งเครื่องกลับมาจากภูเก็ต แล้วมีคำถามมาถามแม่ว่า

พี่ป้อม/น้องกำปั้น : แม่แม่ ไหนแม่ว่า พ่ออยู่บนฟ้า พี่นั่งเครื่องบินบนฟ้า พี่กับน้องมองหาพ่อ แล้วไม่เห็นมี !!!!่

แม่: งั้นพ่อคงอยู่บนอวกาศ มั้ง (แอบตลก ร้ายๆ)

พี่ป้อม/น้องกำปั้น : อืมมมมม น่าว่ามั้งแม่
(กว่าลูกจะโตพอกับเหตุผลของความจริง แม่ ก็อึ้งกับคำพูดคำถามอีกหลายดอก)

ปัจจุบัน เธอ เป็นสมาชิกเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ เป็นสมาชิกที่เข้มแข็ง เก่ง มีเหตุผล เป็นสุภาพสตรีที่ต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัว แต่ก็สู้เพื่อดูแลลูกๆ ไม่มีคำว่าโกรธ เกลียด แค้น หลงเหลืออยู่ในตัวเธอแม้แต่น้อย

เธอเอาชนะความเกลียดได้

เธอหลุดพ้นจากคำว่าอคติได้

เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจต่อกัน เพียงนำเสนอให้เห็นในอีกแง่มุมของผู้สูญเสีย ที่ยังคงมีความต้องการให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต่อไป

 

[3] ต่างสูญเสีย

เวลาผ่านไปไม่นาน เธอได้รับแจ้งให้ต้องเดินทางไป จังหวัดนราธิวาส อีกครั้ง

เธอ เล่าให้ฟังว่า วันที่ 26 ธค 50 ต้องเดินทางไปนราธิวาสอีกครั้งเพื่อรับเงินในส่วนของ ป้องกันจังหวัดนราธิวาส ในฐานะผู้เสียชีวิตคือหัวหน้าครอบครัว ที่ห้องประชุม แถวริมแม่น้ำบางนรา

เธอบอกว่า "ได้นั้งใกล้มุสลิมห์มีอายุมากแล้วคนหนึ่ง ทั้งๆในใจหวาดกลัวกับการมานราธิวาสในครั้งนี้เหลือเกิน กลัวมาแล้วไม่ได้กลับ กลัวทุกอย่างแต่ในใจยังเชื่อว่า มุสลิมที่ใกล้ตัวที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องหรือที่อดีตเป็นลูกศิษย์ ที่เป็นคนดีที่สัมผัสได้เสมอ"

เธอบอกว่า บทสนทนาระหว่างเธอเริ่มการพูดคุย่กับคนแปลกหน้าต่างวัฒนธรรมก็ได้เริ่มขึ้น

เมาะ(มุสลิมะห์สูงวัย) : ลูกมาจากไหนนิ ? (คงเห็นว่าไม่คลุมหัว แต่งตัวไม่เหมือนพวกเขาแถมแขวนพระอีกต่างหาก)

ดิฉัน: มาจากหาดใหญ่คะ !

เมาะ: มาทำไม โดนอะไร? (ฉันคิดในใจว่า อะไร ! มาถามทำไม ?)

ดิฉัน: สามีโดนฆ่าตัดคอที่ ต.สามัคคี รือเสาะ หัวเจอที่สะพานคลองเด็ง (ประมาณว่าพอใจไหมคำตอบ ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ)

เธอเอามือมาจับมือดิฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า

เมาะ: รู้ไหม เมาะเจอ *ยอ(สามีดิฉัน)ด้วยนะ ยอวิ่งมา เมาะให้มานั้งในบ้าน

ดิฉัน: !!!!!!!!!????????

เมาะ: เมาะบอกให้ยอ รออยู่ที่นี่ แล้วให้ลูกชายไปตามตำรวจทหาร มา แต่ว่า พอลูกเมาะไป พวกมันก็มาเอายอไป เมาะขอโทษนะ
(สีหน้าและเสียงที่เศร้าของเมาะพร้อมคำขอโทษมันปลดบ่วงในใจของฉันบ่วงที่1)

ดิฉัน: หนูขอบคุณมากค่ะเมาะ แล้วตอนเค้ามาหาเมาะ เค้าเป็นยังไงบ้าง

เมาะ : ตัวเลอะโคลนมา วิ่งผ่านทุ่งนามา จากอีกหมู่บ้าน สงสารยอนะ

ดิฉัน: (ยกมือไหว้) หนูขอโทษเมาะนะคะ หนูเข้าใจผิดมาตลอดว่า ผัวหนูต้องตายเพราะคนบ้านนี้เรียกโจรมาจับตัวผัวหนูไป มีคนเล่าว่าผัวหนูวิ่งผ่าทุ่งนาไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไปพักที่บ้านชาวบ้าน แต่ก็ต้องมาตายเหมือนกัน หนูขอโทษนะคะที่คิดไม่ดี กับบ้านของเมาะ

เมาะ: ไม่เป็นไร ยอน่าสงสาร นะ อุตส่าห์หนีมาได้แล้ว

ดิฉัน: แล้ววันนี้เมาะมาทำไมคะ?????

เมาะ หลังจากวันนั้นอีกเดือน ลูกชายเมาะคนที่ไปตามตำรวจมาช่วย ยอ โดนยิงตาย

ดิฉัน: เสียใจด้วยนะคะ และก็ขอโทษที่เป็นต้นเหตุ

เมาะ: ตอนนี้เมาะออกมาอยู่กับลูกชายคนโต อีกอำเภอหนึ่งแล้ว อยู่ไม่ได้คนดีอยู่ไม่ได้ บางครั้งพวกมันลงมาจากเขา มันพอใจจะเอาอะไรมันก็เอาไป วัวแพะหรืออะไร มันเอาไปขึ้นไปบนเขา เราทำอะไรไม่ อยู่ไม่ได้แล้วลูกเอ๋ย

เธอบอกว่า วันนั้นถ้าถ้าเธอไม่ได้นั้งใกล้เมาะ ทุกวันนี้เธอยังสาปแช่ง บ้านที่สามีไปขอพักก่อนตาย ว่าคือต้นเหตุ แต่เหตุการณ์กลับเปลี่ยน ทำให้บ้านนี้ต้องสูญเสียลูกชายไปอีกคน เพราะพยายามช่วยสามีของเธอ

สิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อสารเป็นบทความนี้ ถึงแม้เหตุการณ์มันจะผ่านมานานร่วม 9 ปีแล้วก็ตาม แต่ประเด็นของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า เธอ ได้เปลี่ยนความรู้สึกที่เกลียด ให้กลายเป็นความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจกันและกัน ต่างคือผู้ที่สูญเสีย จากความเศร้า เสียใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง แปรเปลี่ยนเป็นต้องเข้มแข็ง เพื่อสร้างกำลังใจให้กับคนอีกหลายๆ คนที่สูญเสียเหมือนกันกับเธอ

ผู้สูญเสียยังปรับเปลี่ยนจิตใจตัวเอง แล้วเราผู้ที่ไม่เคยสูญเสียใครจากเหตุการณ์ ใยกลับนำเรื่องราวต่างๆ มาสร้างความโกรธ เกลียด หวาดระแวงต่อกัน

หมายเหตุ: ขอขอบคุณ  คุณแดง ณภัทร กับเรื่องเล่าที่กรุณาอนญาตให้มาถ่ายทอดให้ผู้สนใจอีกหลายๆ คนได้ทราบ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท