คำประกาศต่อสาธารณะ:พันธกิจของภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

ภาควิชาประวัติศาสตร์ มีพันธกิจในสามด้านได้แก่  การเรียนการสอน  การสร้างความรู้ใหม่ให้แก่สังคมวิชาการ   และการสร้างความรู้ใหม่  "ประวัติศาสตร์สาธารณะ"  พันธกิจทั้งสามด้านนี้เกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ 

ในความเป็นจริง พันธกิจทั้งสามด้านเป็นหัวใจของการเป็น "มหาวิทยาลัย" ที่จะต้องจรรโลงและสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคม   ที่ผ่านมา ภาควิชาประวัติศาสตร์ได้ปฏิบัติตามพันธกิจทั้งสามด้านมาโดยตลอด และได้ทำให้ได้รับการการยอมรับจากสังคมวิชาการและสังคมทั่วไปในระดับที่น่าพึงพอใจ

พันธกิจทั้งสามด้านของภาควิชาประวัติศาสตร์ (หรือสาขาวิชาอื่นๆ) จึงต้องมีความเป็นอิสระโดยสัมพัทธ์ (relative autonomy) แตกต่างไปจากจากระบบการบริหารหน่วยราชการทางด้านปฏิบัติการทั่วไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่รับรู้และปฏิบัติมาโดยตลอดในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา

พันธกิจด้านแรก ได้แก่  การเรียนการสอน

การเรียนการสอนของภาควิชาประวัติศาสตร์มีสามหลักสูตร[1] ได้แก่  หลักสูตรบัณฑิต  มหาบัณฑิต  และดุษฎีบัณฑิต

หลักสูตรบัณฑิตประวัติศาสตร์ (ปริญญาตรี) มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญได้แก่การผลิตบัณฑิตที่สามารถครอบครอง "วิธีคิดทางประวัติศาสตร์" ที่มองเห็นพลวัตทุกๆ ด้านของสังคมอย่างเป็นระยะเวลายาว (Longue durée) เพื่อเอื้อให้แก่การพัฒนาความสนใจส่วนตัวของนักศึกษาในการอธิบายเรื่อง/ประเด็นในประวัติศาสตร์ได้อย่างมีพลัง พร้อมกันนั้นไป การเรียนการสอนจะเน้นวิธีการทางประวัติศาสตร์ในการจัดการ/ตรวจสอบหลักฐานเพื่อประกอบสร้างความรู้ทางประวัติศาสตร์เฉพาะเรื่องเฉพาะสมัยที่นักศึกษาสนใจ   การเรียนการสอนเช่นนี้ทำให้นักศึกษาพัฒนาศักยภาพของตนในการจัดการกับข้อมูล/ตั้งคำถามที่เหมาะสมและสามารถประมวลเชื่อมต่อข้อมูลหลากหลายมามายให้กลายเป็นชุดความรู้ขึ้นมาได้

หลักสูตรมหาบัณฑิตประวัติศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างนักวิชาการที่มีความสามารถในการสร้างความรู้ใหม่ต่อเนื่องต่อไปเพื่อเข้ารับหน้าที่ในการสอนประวัติศาสตร์ในการศึกษาระดับต่างๆ  หลักสูตรจึงเน้นให้นักศึกษามีความสามารถในการตั้งคำถามเชิงประวัติศาสตร์ และพัฒนาการใช้ทฤษฏีทางสังคมศาสตร์ให้ละเอียดอ่อนและเหมาะสมกับปัญหาประวัติศาสตร์ของสังคมไทย  การรับนักศึกษาจึงไม่จำกัดเฉพาะนักศึกษาที่จบประวัติศาสตร์มาเท่านั้นหากแต่เปิดกว้างให้แก่ผู้ที่มาจากทางด้านอื่นๆ  เพื่อที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนจากหลากมุมมอง  ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนเช่นนี้จะทำให้บัณฑิตสามารถทำงานวิชาการอย่างต่อเนื่องไปได้ โดยไม่ยุติการแสวงหาความรู้อยู่ที่วิทยานิพนธ์ปริญญาโทเท่านั้น

หลักสูตรดุษฎีบัณฑิต มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ได้แก่ การมุ่งเน้นส่งเสริมให้นักศึกษาและนักวิชาการที่สนใจด้านประวัติศาสตร์สามารถพัฒนาการค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาสตร์ได้ลึกซึ้งมากขึ้นทั้งทางด้านหัวข้อการวิจัยและกระบวนการสร้างความรู้จากหลักฐานต่างๆ เพราะในสามทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษาประวัติศาสตร์ในโลกมีความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ดังนั้น  จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างกระบวนการการเรียนการสอนที่ทำให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์ให้แก่สังคมวิชาการและสังคมไทย   

การพัฒนาการเรียนการสอนทั้งสามระดับหรือสามหลักสูตรนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นไม่สามารถแยกขาดจากกันได้  ความก้าวหน้าทางวิชาการที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอนระดับปริญญาโทและเอกก็จะส่งผลกลับมาสู่การเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี เพราะกระบวนการสร้าง "ความรู้ใหม่" ให้แก่สังคมวิชาการและสังคมสาธารณะไม่สามารถจะหยุดนิ่งได้

พันธกิจ ด้านที่สอง  การสร้างความรู้ใหม่ให้แก่สังคมวิชาการ 

“โลกและความรู้” ไม่เคยหยุดนิ่ง สถาบันอุดมศึกษาที่เป็นแหล่งสำคัญให้การจรรโลงสังคมที่เป็นธรรม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ประวัติศาสตร์จึงสำคัญมากในแง่ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงอันซับซ้อนของสังคม ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และช่วยให้เข้าใจสังคมในเชิงโครงสร้าง และปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างสังคมกับมนุษย์  ขณะเดียวกัน ความรู้ใหม่ที่ถูกพิสูจน์ว่ามีคุณค่ามีความหมายต่อสังคมก็ต่อเมื่อได้รับการยอมรับจากสังคมวิชาการโดยรวมเสียก่อน จึงจะทำให้ความรู้ทางวิชาการใหม่นั้นมีผลต่อสติปัญญาของสังคม

ภาควิชาประวัติศาสตร์มุ่งเน้นให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ให้แก่วงวิชาการในสองด้านด้วยกัน[2] ด้านแรก ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นจากบัณฑิตของภาควิชาทั้งสามระดับ  ด้านที่สอง  ได้แก่  การสร้างความรู้ใหม่โดยคณาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์

ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นจากบัณฑิตของภาควิชาในระดับปริญญาโทและเอก เป็นที่ยอมรับในสังคมวิชาการอย่างมาก วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยสำนักพิมพ์  ได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์จากหลายแหล่ง และที่สำคัญ ได้รับการกล่าวขวัญถึงในวงสังคมวิชาการอย่างกว้างขวาง   แม้ว่าการศึกษาระดับปริญญาเอกจะยังไม่มีผู้สำเร็จการศึกษา  แต่ผลงานในระหว่างการค้นคว้าวิจัยได้รับพิมพ์ในวารสารและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง 

ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นจากบัณฑิตระดับปริญญาตรีได้รับการยอมรับให้เสนอในวงวิชาการระดับปริญญาตรี และบางชิ้นได้รับการพิมพ์เผยแพร่ในหลายแหล่ง รวมถึงบัณฑิตที่ไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยอื่นก็นำความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นไปพัฒนาต่อเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ในหลายมหาวิทยาลัย

การสร้างความรู้ใหม่โดยคณาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการต่อเนื่องมาโดยตลอด การยอมรับผลงานของอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะวงวิชาการในระดับชาติเท่านั้น  หากแต่ในวงวิชาการต่างประเทศก็ยอมรับผลงานของคณาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย  

พันธกิจในการสร้างความรู้ใหม่ให้แก่วงวิชาการไม่ว่าจะจากการเรียนการสอนสู่ผลงานบัณฑิต  และจากคณาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกตระหนักอยู่ตลอดมา และกล่าวได้ว่าเป็นความปรารถนา (desire) ของนักวิชาการภาควิชาประวัติศาสตร์ เพราะทุกคนทราบดีว่าการสร้างความรู้ใหม่ให้แก่สังคมวิชาการมีความสำคัญยิ่งต่อสังคมไทย

พันธกิจที่สาม การสร้างความรู้ใหม่ “ประวัติศาสตร์สาธารณะ “ (Public History)    

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกวิชาการประวัติศาสตร์ ได้แก่ การเกิดขึ้นของ “ประวัติศาสตร์สาธารณะ” (Public History)  การเปิดพื้นที่ให้สาธารณะได้ร่วมกันนิยามอดีตอันหลากหลายได้ขยายมากขึ้น  รวมทั้งบางรัฐยังมีบทบาทเชิงรุกในการสนับสนุนพื้นที่เหล่านั้น เช่นประเทศอังกฤษให้งบประมาณมหาศาลกับองค์กรสาธารณะที่ทำงานด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การศึกษา เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ โดยที่สถิติชี้ว่ากระทรวงวัฒนธรรม สื่อและการกีฬาของอังกฤษได้รับงบประมาณราวพันล้านปอนด์หรือราว 7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยจัดสรรงบจำนวนมากให้องค์กรสาธารณะดำเนินการและกระทรวงไม่เข้าไปแทรกแซงในกิจการขององค์กรเหล่านั้น ซึ่งเท่ากับสนับสนุนให้มีการนิยามวัฒนธรรมอย่างเปิดกว้าง ทั้งในเรื่องชาติพันธุ์ ศาสนา ประวัติศาสตร์ ฯลฯ[3]

กระบวนการขยายตัวของ “ ประวัติศาสตร์-สาธารณะ” จะทำให้ประวัติศาสตร์มีคุณค่าใกล้ชิดกับจิตใจของผู้คน กล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์ยังดำรงชีวิตลมหายใจในชีวิตประจำวันของสาธารณะโดยทำหน้าที่เป็นความทรงจำของสาธารณะ ขณะเดียวกัน ก็ได้เอื้อให้สาธารณะเข้าถึงประวัติศาสตร์ในทรรศนะ การรับรู้ ความรู้สึกและความเชื่อมโยงของผู้คนเองทั้งในระดับส่วนบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม

พันธกิจของภาควิชาประวัติศาสตร์ในที่นี้  คือ  การสร้าง “ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต”

พันธกิจในการศึกษาและสร้าง “ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต”  จึงจะเป็นประวัติศาสตร์อันหลากหลาย รวมทั้งใช้วิธีการศึกษาอันกว้างขวางที่เกี่ยวโยงกับศาสตร์ต่างๆ ในมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์   (รวมไปถึงวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต)โดยหลอมรวมกับประเด็นเกี่ยวกับสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับชีวิตของคนหมู่มาก  ซึ่งจะมีความหมายที่สำคัญยิ่งทางการศึกษา ได้แก่ การสร้างการคืนความรู้และการตัดสินใจให้แก่ “สาธารณะ” (Public emancipation)

ภาควิชาประวัติศาสตร์มีเป้าหมายในการทำให้ประเด็นต่อไปนี้เป็นประเด็นหลักสำหรับการศึกษา การเรียนการสอน การวิจัย และการสื่อสารกับสาธารณะในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป   ได้แก่

  • ประวัติศาสตร์ความคิดและกระบวนการสร้าง “ความยุติธรรม”  ซึ่งรวมถึงการศึกษาความหมายและปฏิบัติการณ์ของการนิยามและการเข้าถึงอดีต พื้นที่ และทรัพยากรร่วมกัน
  • นิเวศประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลก และความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในโลกดิจิตัล
  • ประวัติศาสตร์ความรู้สึก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเข้าใจ “ มนุษย์” ในบริบทของสังคม

แม้ว่าจะสร้างประเด็นหลักสำหรับ “ประวัติศาสตร์สาธารณะ” ในอนาคต แต่ก็ยังคงดำเนินการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ที่เป็นความเชี่ยวชาญของภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ได้แก่ ประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์ความคิด ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์จากข้างล่าง ประวัติศาสตร์อาณานิคมฯลฯในเชิงพื้นที่ ครอบคลุมพื้นที่อื่นๆ ในโลกมากขึ้น lสำหรับ “พื้นที่” ภาคเหนือและกลุ่มประเทศอาเซียน อาจารย์รุ่นใหม่หลายคนก็จะพัฒนาองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ล้านนาและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ เช่น จีน พม่า จากมุมมองใหม่

พันธกิจทั้งสามด้านของภาควิชาประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการศึกษาที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้  และความหวังของภาควิชาในการมองและแสวงหาแนวทางเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เป็นการปูทางไปสู่การสร้างสังคมที่งดงาม ที่ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี และมีความสุขสงบร่วมกัน  ขณะเดียวกัน ภาควิชาประวัติศาสตร์ก็เชื่อว่าการดำเนินการเรียนการสอนและการปฏิบัติตามพันธกิจนี้จะทำให้บัณฑิตของภาควิชาทุกระดับจะเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและมีพลังแห่งความศรัทธาในมนุษย์ที่จะสร้างสรรค์สังคมต่อไป

                                                                                    คณาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์

                                                                         คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

         

 

 

เชิงอรรถ

[1] หากสนใจตัวเลขเชิงปริมาณของการเรียนการสอนให้ดูที่ภาคผนวก ๑

[2] หากสนใจผลงานในเชิงปริมาณ ดูในภาคผนวก

[3] นอกจากนี้ในสหภาพยุโรป โดยเฉลี่ยงบประมาณด้านศิลปวัฒนธรรมอยู่ที่ร้อยละ 0-2 ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2000-2005; ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ เอสโตเนีย โปรตุเกส และเยอรมนีเน้นการให้ทุนด้านงานเขียน การพัฒนาห้องสมุดสาธารณะ หอจดหมายเหตุ และพิพิธภัณฑ์เป็นพิเศษ Policy Department Structural and Cohesion Policies

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท