Skip to main content
sharethis
 
สั่งทำยุทธศาสตร์แรงงานชายแดนใต้ จ้าง ป.ตรี ทำงานในพื้นที่
 
โฆษก แรงงาน เผย "บิ๊กบี้" ย้ำมุ่งเสริมยุทธศาสตร์แรงงานพื้นที่ชายแดนใต้ หวังผลักดันเป็นเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" สานพลังประชารัฐ สร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่
 
เมื่อวันที่ 2 ส.ค.59 ที่กระทรวงแรงงาน นายธีรพล ขุนเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน มีนโยบายให้กระทรวงดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน 3 จังหวัดชายแดนใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมทั้ง สงขลา (อ.จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ขึ้นเป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากยุทธศาสตร์ในภาพรวมของกระทรวงแรงงานที่ได้จัดทำขึ้นแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายนายกรัฐมนตรีในการผลักดันเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ภายใต้แนวคิดสานพลังประชารัฐผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่
 
นายธีรพล กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะพัฒนา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ขึ้นเป็นเมืองต้นแบบเกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน พัฒนา อ.เบตง จ.ยะลา ขึ้นเป็นเมืองของการพัฒนาที่พึ่งตนเองด้านพลังงานแบบยั่งยืน รวมถึงพัฒนา อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนระหว่างประเทศ โดยทั้ง 3 เมืองจะยึดโยงกันเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอาณาเขตโดยรอบ เพื่อสร้างความเจริญ และยกระดับคุณภาพชีวิต เกิดความสันติสุขอย่างยั่งยืน โดยมีการจ้างผู้จบการศึกษาปริญญาตรี ซึ่งเป็นคนในพื้นที่เป็นบัณฑิตแรงงาน จำนวน 380 คน ให้ประจำในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน เพื่อสนับสนุนการทำงานของกระทรวงแรงงานโดยการเข้าไปสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงในการทำงาน
 
 
จ๊อบไทยเผยหางานออนไลน์พุ่ง เด็กจบใหม่แข่งหางานด้านวิทยาศาสตร์มากที่สุด
 
เว็บไซต์สมัครงาน “จ๊อบไทยดอทคอม” ระบุสถิติสมัครงานออนไลน์บูม ยอดผู้เข้ามาใช้งานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องคาดปี 59 เพิ่มกว่า 30% เผยสาขาอาชีพยอดนิยม เงินเดือนเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 15,000 – 28,000 บาท และสาขาอาชีพที่มีอัตราการแข่งขันสูง คือ งานวิทยาศาสตร์-วิจัยพัฒนา จำนวน 1ต่อ 32 คน
 
นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ หัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) เปิดเผยว่า ประมาณเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ของทุกปีจะเป็นช่วงที่นิสิตนักศึกษาทั่วประเทศสำเร็จการศึกษา และเริ่มหางาน สมัครงาน โดยปีการศึกษา 2558 มีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทั่วประเทศกว่า 300,000 คน (ที่มา:สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาปี 2558) เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม ในฐานะผู้ให้บริการเว็บไซต์หางาน สมัครงาน อันดับ 1 ของประเทศ ได้รวบรวมข้อมูลของนักศึกษาจบใหม่ประจำปีการศึกษา 2558 ที่ได้ทำการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอมจำนวนกว่า 140,000 คนทั่วประเทศ พบว่ามีสถิติหลายหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้ สาขาอาชีพที่นักศึกษาจบใหม่มีการสมัครงานมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. งานวิศวกรรม อาทิ วิศวกรรมการผลิต วิศวกรรมอุตสาหการ-โรงงาน วิศวกรรมไฟฟ้า คิดเป็น 16.96 % 2. งานจัดซื้อ-ธุรการ คิดเป็น 11.49 % และ 3. งานผลิต-ควบคุมคุณภาพ คิดเป็น 10.58 % สาขาอาชีพยอดนิยมที่มีความต้องการเงินเดือนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. งานวิศวกรรม เริ่มต้นที่ 17,600-28,000 บาท 2. งานไอที-โปรแกรมเมอร์ เริ่มต้นที่ 14,800-25,000 บาท 3. งานสิ่งแวดล้อม/ISO เริ่มต้นที่ 16,000-22,000 บาท
 
ส่วนสาขาอาชีพที่มีอัตราการแข่งขันสูงสุดในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. งานวิทยาศาสตร์-วิจัยพัฒนา จำนวน 1 อัตรา ต่อ 32 คน, 2. งานทรัพยากรบุคคล จำนวน 1 อัตรา ต่อ 15.5 คน และ 3. งานวิชาการ-อาจารย์ จำนวน 1 อัตรา ต่อ 15 คน
 
นางสาวแสงเดือน กล่าวต่อว่า เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอมได้ทำการสำรวจและวิจัยในหัวข้อทักษะการทำงานที่นักศึกษาจบใหม่คิดว่าตัวเองถนัดและไม่ถนัดมากที่สุด ผ่านการจัดกิจกรรม Career Ready Guide ซึ่งจ๊อบไทยดอทคอมได้ลงพื้นที่เพื่อไปพบปะและรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ โดยตรงจากนิสิต นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศกว่า 10,000 คน โดยให้กลุ่มเป้าหมายประเมินตนเองถึงทักษะการทำงานในด้านต่างๆ พบว่าทักษะที่นิสิต นักศึกษาคิดว่าตนเองถนัดมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การสืบค้นข้อมูลข่าวสาร การทำงานเป็นทีม และการประสานงาน ส่วนทักษะที่ไม่ถนัดมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การเขียนอี-เมล์ การนำเสนองาน และความเป็นผู้นำ ตามลำดับ โดยทักษะต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมีความจำเป็นต่อโลกการทำงานและเป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรใช้พิจารณาเข้ารับทำงาน ซึ่งนิสิต นักศึกษาควรจะพัฒนาและฝึกฝนให้มีความพร้อมในทักษะเหล่านั้นมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจุบันที่หลายองค์กรต่างมองหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติหลากหลาย เพื่อช่วยยกระดับองค์กรให้มีประสิทธิภาพ
 
ทั้งนี้สถานการณ์การว่างงานในประเทศไทย ปี 2559 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 พบว่ามีอัตราการเลิกจ้าง และการว่างงานเพิ่มขึ้นกว่า 70,000 คน โดยมีผู้ว่างงานทั้งหมดอยู่ที่ 390,000 คน (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ เดือนมิถุนายน 2559) สอดคล้องกับสถิติของเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอมที่มีตัวเลขการเข้าใช้งานสูงขึ้นกว่า 30% โดยในหลายสายงานมีอัตราการค้นหาและสมัครงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม มีจำนวนงานที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศอัพเดตทุกวันมากกว่า 80,000 อัตรา แบ่งหมวดหมู่งานตามสาขาอาชีพกว่า 130 อาชีพ จาก 40 กลุ่มธุรกิจ และมีจำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอมกว่า 11 ล้านคน ต่อปี
 
 
สหภาพแรงงานไพโอเนียร์ร้องแรงงานช่วยเหตุไม่ได้รับสิทธิตาม กม.
 
เมื่อวันที่ 3 ส.ค. เวลา 12.00 น. ที่กระทรวงแรงงาน กลุ่มสหภาพแรงงานไพโอเนียร์แห่งประเทศไทย จากบริษัท ไพโอเนียร์แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เครื่องเสียงรถยนต์ ส่งออกต่างประเทศ ที่อยู่ภายในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 100 คน เดินทางมาเรียกร้องขอให้กระทรวงแรงงานเข้าช่วยเหลือ หลังจากที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้าง
 
นายวรวิทย์ สีห้วย ตัวแทนกลุ่มฯ เปิดเผยว่า แรงงานทั้งหมดเดินทางมาเพื่อต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่ออยากให้ช่วยเหลือ เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายจากนายจ้าง อาทิ ไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องวันหยุด เบี้ยเลี้ยงสวัสดิการ ดังนั้นจึงต้องการมาเรียกร้อง เพื่อให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงมาติดตามช่วยเหลือ
 
ขณะที่ นายสุวิทย์ สุมาลา รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายปฐม เพชรมณี รองอธิบดีกรมสวัสดิฯ ได้ลงมาติดตามเพื่อรับข้อเรียกร้องจากกลุ่มสหภาพแรงงานดังกล่าว จากนั้นได้ให้กลุ่มแรงงานเขียนข้อเรียกร้อง เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ให้หาแนวทางดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
 
 
บอร์ดพัฒนาแรงงานฯ เห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนาแรงงานด้านท่องเที่ยว-โลจิสติกส์ เตรียมเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า
 
ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ พ.ศ.2560-2564 และยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน พ.ศ.2560-2564 โดยกระทรวงแรงงานจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า
 
สำหรับยุทธศาสตร์ทั้ง 2 เรื่องจะเน้นพัฒนากำลังคนทั้งปริมาณและคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล โดยจะพัฒนากำลังคนในประเทศก่อนนำมาตรฐานแรงงานอาเซียนมาเป็นกรอบการพัฒนาแรงงาน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มกำลังแรงงานที่อยู่ในระบบการศึกษาให้สอดแทรกในหลักสูตรการเรียนซึ่งจะประสานงานกับสถาบันการศึกษา ให้สอดแทรกในหลักสูตรการเรียนซึ่งจะประสานงานกับสถาบันการศึกษา ส่วนกลุ่มแรงงานที่มีอยู่เดิมก็จะประสานกับภาคธุรกิจและสมาคมที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแรงงาน
 
ปัจุบันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนมีแรงงานในระบบประมาณ 1.2 ล้านคน และมีความต้องการแรงงานเข้ามาทดแทนประมาณ 3 หมื่นคนต่อปี ซึ่งนอกจากพัฒนาทักษะฝีมือในการทำงานแล้ว ยังต้องพัฒนาทักษะภาษาและไอทีด้วย
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนากำลัง 2 ชุด ประกอบด้วย อนุฯอุตสาหกรรมอาหาร และ อนุฯ อุตสาหกรรมสุขภาพ และเห็นชอบแผนแม่บทเชื่อมโยงข้อมูลแรงงานเพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนระดับชาติด้วย
 
 
กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครพนักงานนวดไปทำงานประเทศมาเลเซีย
 
กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียกับนายจ้างบริษัท Ancient Thai Bodywork Therapy Sdn, Bhd. และบริษัท BEA Therapy Sdn, Bhd, ในตำแหน่งพนักงานนวด จำนวน 35 อัตรา สัญญาจ้าง 2 ปี และต่อสัญญาได้อีก 2 ปี สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 และสำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โดยไม่เสียค่าบริการใด ๆ
 
นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานในประเทศมาเลเซียกับบริษัท Ancient Thai Bodywork Therapy Sdn, Bhd, และบริษัท BEA Therapy Sdn, Bhd. ซึ่งประกอบกิจการนวดแผนไทย จำนวน 25 อัตรา และ 10 อัตรา ตามลำดับ ระยะเวลาการจ้าง 2 ปี ต่อสัญญาได้อีก 2 ปี อัตราค่าจ้าง 2,000 ริงกิตต่อเดือน หรือประมาณ 16,992 บาทต่อเดือน (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2559) โดยนายจ้างจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงเพิ่มเติม 600 ริงกิตต่อเดือน เป็นค่าอาหาร ไม่มีการหักเงินเดือนสำหรับค่าใบอนุญาตทำงาน ทำงานเป็นกะวันละ 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน นายจ้างรับผิดชอบค่าทำประกันเงินทดแทนและประกันสุขภาพให้ตามที่ทางการมาเลเซียกำหนด พร้อมจัดเตรียมที่พักให้ฟรี และรับผิดชอบค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับประเทศไทย เมื่อทำงานครบสัญญาจ้าง 2 ปี มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11 วัน ลาป่วยไม่เกินปีละ 14 วัน ลาพักผ่อนได้ 8 วัน คุณสมบัติ เป็นเพศหญิงและเพศชาย มีอายุระหว่าง 30 – 45 ปี สามารถนวดแผนไทย สุคนธบำบัด นวดเท้า สครับ มาสค์ และสปาบำบัดอื่นๆ มีใบประกาศนียบัตรผ่านการอบรมหลักสูตรนวดแผนไทยหรือนวดเท้าจากสถาบันที่ได้รับการรับรองจำนวน 150 ชั่วโมง หรือผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ประเภทการนวดไทย ระดับ 1 เอกสารที่ใช้ในการสมัคร ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่าย 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป สำเนาหนังสือเดินทาง (ถ้ามี) ประกาศนียบัตรผ่านการฝึกอบรมนวดแผนไทยหรือนวดเท้า
 
ผู้สนใจสามารถติดต่อสมัครด้วยตนเองพร้อมหลักฐานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1- 10, สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน อาคารสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 ชั้น 10 ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2559 โดยไม่เสียค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น
 
 
กระทรวงแรงงาน เผยรัฐ – NGOs ทำงานร่วมต่อต้านค้ามนุษย์ ตั้งศูนย์ช่วยเหลือต่างด้าว 10 จังหวัด
 
‘ปลัดแรงงาน’ เผยเวทีเสวนา ‘เปิดใจ…การต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทย’ ย้ำรัฐพร้อมสนับสนุนให้ NGOs ในพื้นที่ร่วมทำงานเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทุกภาคส่วนเป็นกุญแจป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้บรรลุเป้าหมาย ตั้งเป้าเปิดศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวใน 10 จังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวมากที่สุดได้ภายในสิงหาคมนี้
 
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการเสวนา “เปิดใจ…การต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทย” ครั้งที่ 3/2559 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานว่า การเสวนาในครั้งนี้กระทรวงแรงงานเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะและแนวทางการดำเนินงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม และ NGOs โดยได้หารือถึงกรอบความร่วมมือใน 3 ประเด็นหลัก คือ
 
1) ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานภาคประมงที่ทำงานอย่างถูกกฎหมายและช่วยเหลือแรงงานให้นำความรู้ไปประกอบอาชีพโดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตตามหลักมนุษยธรรม 2) การช่วยเหลือแรงงานประมงไทยกลับจากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือลูกเรือประมงกลับประเทศไทยเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้น 3)การจัดตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงแรงงานดำเนินการเพื่อรับและส่งแรงงานต่างด้าวรวมถึงให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาด้านแรงงานนั้น แนวทางการทำงานจะดำเนินการร่วมกับ NGOs เนื่องจากองค์กรเหล่านี้ในพื้นที่หลายแห่งทำงานได้ดีและมีความเข้มแข็ง ภาครัฐเพียงแต่จะต้องเข้าไปสนับสนุนเพื่อให้การบริหารจัดการในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 
โดยในเบื้องต้นจะจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานฯ ใน 10 จังหวัด (เชียงใหม่ สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี สงขลา สมุทรปราการ ชลบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ตาก และระนอง) เพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานที่ประสบปัญหากับนายจ้างจนต้องออกจากงาน โดยจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
 
 
กระทรวงแรงงานใช้ระบบไตรภาคี แก้ไขปัญหาแรงงานไพโอเนียร์
 
สหภาพแรงงานไพโอเนียร์แห่งประเทศไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ด้วยเหตุที่เห็นว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิกฎหมายแรงงานจากนายจ้าง เพื่อให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัย ทั้งนี้ได้รวบรวมข้อมูลให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์พิจารณาให้ความช่วยเหลือตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
 
นายสุวิทย์ สุมาลา รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายปฐม เพชรมณี รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ติดตามการดำเนินการกรณีตัวแทนสหภาพแรงงานไพโอเนียร์แห่งประเทศไทยที่นำสมาชิกจำนวนกว่า 100 คนของบริษัท ไพโอเนียร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรณีที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิกฎหมายแรงงานจากนายจ้าง ณ ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กระทรวงแรงงาน ชั้น 1 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยสหภาพแรงงานฯ เห็นว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการที่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ซึ่งตัวแทนสหภาพแรงงานฯ ได้ยื่นข้อร้องเรียนตามแบบ (ครส.) เพื่อรวบรวมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์นำไปพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามข้อกำหนดของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ต่อไป
 
สำหรับบริษัท ไพโอเนียร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ภายในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบกิจการผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ ปัจจุบันมีลูกจ้าง 2,514 คน ซึ่งเป็นลูกจ้างรายเดือนทั้งหมด โดยมีสหภาพแรงงานไพโอเนียร์แห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกที่เป็นลูกจ้างของบริษัทฯ จำนวน 678 คน
 
 
กองทุนช่วยเหลือเลเบอร์ต่างแดน จ่ายครั้งเดียวคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตลอดการจ้าง
 
ปัจจุบันยังมีคนหางานหลั่งไหลไปทำงานในต่างประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เองก็ส่งเสริมและพยายามหาตลาดแรงงานในต่างประเทศให้มากขึ้นอีก แต่ได้แนะนำว่าขอให้ไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
 
เพราะคนหางานจะได้รับความคุ้มครอง การช่วยเหลือในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่พึงจะได้รับ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อการช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ เมื่อแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศจะได้รับสิทธิประโยชน์ และการคุ้มครองดูแลหากประสบอันตรายหรือประสบปัญหาเมื่อไปหรือจะไปทำงานต่างประเทศ โดยจ่ายเพียงครั้งเดียว แต่ให้การคุ้มครองตลอดระยะเวลาสัญญาจ้างงาน
 
นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือคนหางานซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในต่างประเทศให้เดินทางกลับประเทศไทย ให้การสงเคราะห์แก่แรงงานไทยซึ่งไปหรือจะไปทำงานในต่างประเทศหรือทายาทโดยธรรมของสมาชิกกองทุนฯ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิ์สมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้แก่ คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางาน หรือกรมการจัดหางานจัดส่ง ส่วนคนหางานที่แจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองสามารถสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้ตามความสมัครใจ โดยจ่ายค่าสมาชิกฯ ในอัตรา 300-500 บาทต่อคน ตามอัตรากำหนดของประเทศที่เดินทางไปทำงาน ซึ่งจ่ายเพียงครั้งเดียว แต่คุ้มครองตลอดระยะเวลาสัญญาจ้าง และคุ้มครองต่อไปอีก 5 ปีหากยังทำงานอยู่ในต่างประเทศ
 
โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการสงเคราะห์ช่วยเหลือมีหลายกรณี เช่น ถูกทอดทิ้งในต่างประเทศจะช่วยเหลือให้กลับประเทศไทย กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิตสงเคราะห์แก่ทายาทโดยธรรมและค่าจัดการศพในต่างประเทศ ประสบอันตรายทั้งก่อนไปและทำงานแล้ว กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุการประสบอันตรายและเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในต่างประเทศจนไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ประสบปัญหาต่างๆ ในต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนฯ เนื่องจากเป็นโรคต้องห้ามและห้ามทำงานหรือเนื่องจากปัญหาความไม่สงบ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ซึ่งทางการของประเทศนั้นๆ ประกาศกำหนดแล้ว หรือค่าจ้างทนายความเนื่องจากถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดซึ่งมิได้กระทำโดยเจตนา เป็นต้น ซึ่งอัตราการสงเคราะห์เป็นไปตามกฎหมายกำหนด
 
นายอารักษ์ กล่าวว่า สมาชิกกองทุนฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า รวมทั้งมีความมั่นใจในการไปทำงานต่างประเทศ โดยมีกองทุนฯ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับตนเองและครอบครัว หากต้องประสบปัญหาที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ จึงขอเชิญชวนแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศด้วยวิธีแจ้งการทำงานด้วยตนเองสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ โดยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 สำนักงานบริหารแรงงานไทยไป ต่างประเทศ ฝ่ายกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคม เขตพื้นที่ 3 โทร.0-2245-6710-11 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
 
 
สปส.จ่ายค่าบริการทางการแพทย์ในปี 2558 ให้แก่สถานพยาบาลกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท เผยปี 2560 มี รพ.เอกชนสมัครเข้าร่วมระบบประกันสังคม 81 แห่ง
 
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) นายโกวิท สัจจวิเศษ บอกว่า ในปี 2558 สปส.จ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็นค่าบริการทางการแพทย์ 3,168 บาทต่อผู้ประกันตน 1 ราย และได้จัดส่งแพทย์ พยาบาล ที่ปรึกษา ออกตรวจมาตรฐานและคุณภาพการให้การรักษาพยาบาลตามประกาศสำนักงานประกันสังคมเรื่องกำหนดมาตรฐานพยาบาลที่ให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน พ.ศ. 2551 อย่างสม่ำเสมอ ส่วนการเปิดรับสมัครรพ.เอกชนเข้าร่วมโครงการในปี 2560 มีรพ.เอกชนสมัครเข้าระบบประกันสังคม 81 แห่ง มี 1 แห่งที่ไม่เข้าร่วม
 
 
แรงงานมีฝีมือ 20 สาขา เฮ! รัฐบังคับเพิ่มค่าจ้างสูงสุด 700 บาท 10 ส.ค.นี้-โทษนายจ้างไม่จ่าย คุก 6 เดือนปรับ 1 แสน
 
(5 ส.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน มีการแถลงข่าวเปิด “ประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 5)” ภายหลังกระทรวงแรงงานได้ประกาศแล้ว 35 สาขาอาชีพ และในวันที่ 10 ส.ค.นี้จะบังคับใช้อีก 20 สาขาอาชีพใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ยานยนต์ อัญมณี และกลุ่มลอจิสติกส์ โดยในกลุ่มเหล่านี้จะมีอัตราค่าจ้างตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไปจนถึงประมาณวันละ 700 บาท
 
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า “การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ” เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ส่งเสริมการพัฒนาทางอ้อมเช่นกัน เพราะการได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะเป็นเสมือนเส้นทางความก้าวหน้าในสาขาอาชีพ (Career Path) ของลูกจ้าง ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ (Unskilled Labour) จนกระทั่งถึงระดับช่างฝีมือ (Skilled Labour) ทำให้คนทำงานมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ส่งผลให้การผลิตสินค้าและบริการมีคุณภาพยิ่งขึ้น ลูกจ้างและนายจ้างได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ส่วนผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้รับประโยชน์จากการใช้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และในที่สุดประโยชน์โดยรวมจะตกอยู่กับประเทศไทย โดยการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะส่งผลดี 4 ประการ คือ
 
1) ทำให้คนทำงานที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติใน 20 สาขาอาชีพ ทั้งระดับ 1 และ 2 มีค่าจ้างเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับทักษะฝีมือ ความรู้ความสามารถ และการจ้างงานในตลาดแรงงาน ทำให้คนทำงานมีขวัญกำลังใจในการทำงาน 2) เป็นแรงจูงใจให้คนทำงานทั่วไปได้มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้ได้รับค่าจ้างสูงขึ้น 3) ผู้ประกอบการสามารถคัดเลือกแรงงานที่มีฝีมือเข้าทำงาน ทำให้สินค้าและบริการมีคุณภาพได้มาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนผลิตเพราะไม่เกิดการผิดพลาดระหว่างการผลิต และสามารถรักษาบุคลากรที่มีฝีมือไว้ได้ด้วย 4) ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในสาขาอาชีพที่ขาดแคลน และรองรับการพัฒนาประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
 
มีรายงานว่า คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) กำลังมีการพิจารณาอีก 12 สาขา เช่น ในกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ พลาสติก เป็นต้น เชื่อว่าการกำหนดดังกล่าวนายจ้างจะได้รับประโยชน์จากแรงงานที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ซึ่งทำให้สินค้าและบริการมีคุณภาพได้มาตรฐาน รวมถึงสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนการผลิตแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสอดรับกับนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลด้วย ขณะที่ภาคแรงงานก็จะได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม สอดคล้องกับทักษะฝีมือ ความรู้ ความสามารถ
 
ทั้งนี้ หากนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามประกาศดังกล่าวจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับรายละเอียดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ แบ่งดังนี้
 
1. กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 4 สาขา ประกอบด้วย พนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่าง ระดับ 1 ค่าจ้าง 360 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 430 บาท / พนักงานประกอบมอเตอร์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ระดับ 1 ค่าจ้าง 370 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 445 บาท / ช่างเทคนิคบำรุงรักษาเครื่องจักรกล ระดับ 1 ค่าจ้าง 410 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 490 บาท / ช่างเทคนิคระบบรักษาความปลอดภัย ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง ค่าจ้าง 480 บาท
 
2. กลุ่มชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 4 สาขา ประกอบด้วย สาขาช่างกลึง ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท / ช่างเชื่อมมิก-แม็ก ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท / ช่างเทคนิคบำรุงรักษาเครื่องจักรกล ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาทระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท / ช่างเทคนิคเครื่องกลึงอัตโนมัติ ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
 
3. ยานยนต์ ประกอบด้วย ช่างเทคนิคพ่นสีตัวถัง ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท / ช่างเทคนิคพ่นซีลเลอร์ตัวถัง ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท / พนักงานประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์(ขั้นสุดท้าย) (ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
 
4.อัญมณี ประกอบด้วย ช่างเจียรไนพลอย ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาทิระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท / ช่างหล่อเครื่องประดับ ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท / ช่างตกแต่งเครื่องประดับ ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท / ช่างอัญมณีบนเครื่องประดับ ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท
 
5. ลอจิสติกส์ ประกอบด้วย นักบริหารการขนส่งสินค้า ระดับ 1 ค่าจ้าง 415 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 500 บาท / ผู้ควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน ระดับ 1 ค่าจ้าง 360 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 430 บาท / ผู้ควบคุมสินค้าคงคลัง ระดับ 1 ค่าจ้าง 350 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 420 บาท / ผู้ปฎิบัติการคลังสินค้า ระดับ 1 ค่าจ้าง 340 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 410 บาท
 
“ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 แรงงานจึงต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานฝีมือจะมากำกับเรื่องสมรรถนะ ที่จำเป็นส่วนที่ขาดก็ต้องมีการเติมเต็ม ซึ่งคนทำงานจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา” ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าว
 
 
โอกาสดี ! ของแรงงานไทยไปทำงานพ่อครัว-แม่ครัวในต่างประเทศมีรายได้ 40,000 – 90,000 บาทต่อเดือน
 
นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ในปี 2559 นี้ตำแหน่งงานพ่อครัว-แม่ครัวกำลังเป็นที่สนใจของคนหางานส่วนใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลสถิติการแจ้งการเดินทางไปทำงานพ่อครัว-แม่ครัวของแรงงานไทยพบว่าในเดือนมิถุนายนมีการแจ้งการเดินทางครั้งแรกเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาถึงร้อยละ 118 ในแต่ละปีจะมีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานตำแหน่ง พ่อครัว-แม่ครัวเฉลี่ยประมาณ 3,500 คน มีรายได้เฉลี่ยคนละประมาณ 40,000 - 90,000 บาทต่อเดือน โดยส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 31-40 ปี รองลงมา 41-50 ปี และ 25-30 ปี ซึ่งจะเป็นการเดินทางโดยวิธีแจ้งการเดินทางด้วยตนเองมากที่สุด รองลงมาเป็นนายจ้างพาไปทำงาน และบริษัทจัดหางานจัดส่งตามลำดับ โดยประเทศที่นิยมเดินทางไปทำงานมากที่สุด 10 อันดับแรกคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ อังกฤษ นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี อิสราเอล สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มาเลเซีย และสวีเดน
 
ในแต่ละประเทศจะมีเงื่อนไขในการไปทำงานตำแหน่งพ่อครัว-แม่ครัวแตกต่างกัน เช่น ประเทศญี่ปุ่นจะต้องมีประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 10 ปี หรือผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติสาขาผู้ประกอบอาหารไทยระดับ 1 ขณะที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีใบรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานแต่จะต้องมีการขอใบอนุญาตทำงาน ส่วนประเทศสิงคโปร์จะต้องขอใบอนุญาตประเภท S-pass ซึ่งเป็นใบอนุญาตทำงานสำหรับคนต่างชาติที่มีฝีมือแรงงานในระดับกลาง มีเงินเดือนประจำขั้นต่ำ 2,000 เหรียญสิงคโปร์ มีประกาศนียบัตรและมีประสบการณ์ทำงาน ประเทศนิวซีแลนด์ต้องผ่านการทดสอบของวิทยาลัยดุสิตธานีหรือมีใบผ่านงานจากภัตตาคารโรงแรมชั้นหนึ่งเท่านั้น และกำหนดโควตาให้นำพ่อครัวเข้ามาทำงานได้ 1-2 คนเท่านั้น สำหรับประเทศในแถบยุโรปนั้นขณะนี้มีความต้องการแรงงานไทยไปทำงาน พ่อครัว-แม่ครัวเป็นจำนวนมากเนื่องจากชื่นชอบในรสชาติอาหารไทย เช่นประเทศอังกฤษในแต่ละปีจะมีแรงงานไทยไปทำงานพ่อครัว-แม่ครัวประมาณ 200-300 คน ซึ่งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในอังกฤษกำหนดไว้ที่ 5.93 ปอนด์/ชั่วโมง หรือประมาณ 290.57 บาท เดือนละประมาณ 1,233.44 ปอนด์หรือประมาณ 61,438.53 บาท เช่นเดียวกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีปัจจุบันมีแนวโน้มความต้องการพ่อครัว-แม่ครัวไทยสูงขึ้นเนื่องจากร้านอาหารไทยนิยมจ้างแรงงานไทยมากขึ้น โดยจะได้รับค่าจ้างแตกต่างกันในแต่ละรัฐ มีรายได้เมื่อหักภาษีและเงินสมทบประกันสังคมประมาณ 1,200 – 1,620 ยูโรต่อเดือน หรือประมาณ 46,700–63,100 บาทต่อเดือน คุณสมบัติต้องมีความรู้ภาษาเยอรมัน/ภาษาอังกฤษ มีประสบการณ์ทำงานพ่อครัว-แม่ครัวอย่างน้อย 6 ปี มีหนังสือรับรองการทดสอบมาตรฐานแห่งชาติจากสถาบันที่กำหนด ได้แก่วิทยาลัยดุสิตธานี โรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต และ Thai - Swiss Culinary Education Center
 
นายอารักษ์ฯ กล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2559 นี้คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมให้แรงงานไทยที่มีความรู้ ความสามารถด้านการทำอาหารไทยไปทำงานตำแหน่งพ่อครัว-แม่ครัวในต่างประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงแรงงานจะได้มีการฝึกอบรมมุ่งเน้นพัฒนาฝีมือให้มีมาตรฐานเพื่อยกระดับทั้งด้านการให้บริการและมาตรฐานในรสชาติอาหารไทยเพื่อไปทำงานในต่างประเทศให้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อเผยแพร่อาหารไทยและเอกลักษณ์ของความเป็นไทย สู่นานาประเทศ อย่างไรก็ตาม หากประสงค์จะไปทำงานพ่อครัว-แม่ครัวในต่างประเทศ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ ที่จะไปทำงาน คุณสมบัติ และเงื่อนไขต่าง ๆ ของในแต่ละประเทศให้ละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อป้องกันปัญหาการถูกหลอกลวง โดยติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน หรือโทรศัพท์สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
 
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 6/8/2559
 
เตือน ! สาธารณรัฐเกาหลีไม่รับชาวต่างชาติไปทำงานตำแหน่งพนักงานนวดสงวนไว้เฉพาะคนพิการทางสายตาของสาธารณรัฐเกาหลีเท่านั้น
 
กรมการจัดหางานเตือนคนหางานระวังถูกหลอกไปทำงานนวดที่สาธารณรัฐเกาหลี เนื่องจากสาธารณรัฐเกาหลี ไม่อนุญาตให้แรงงานต่างชาติทำงานในตำแหน่งนวด แต่สงวนไว้ให้เฉพาะชาวเกาหลีที่พิการทางสายตาที่ผ่านการอบรมแล้วเท่านั้น ย้ำทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีได้ 2 วิธีคือ ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) และแรงงานต่างชาติประเภทช่างฝีมือ ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติหรือขอวีซ่าจากกระทรวงยุติธรรมสาธารณรัฐเกาหลี และผ่านการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐานเท่านั้น
 
นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพหลอกคนหางานไปทำงาน นวดแผนไทยที่สาธารณรัฐเกาหลีทางสื่อโชเชียล โดยอ้างว่ามีรายได้ดี และสามารถช่วยเหลือให้ไปทำงานได้ โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวในการเดินทาง และเมื่อเดินทางไปแล้วกลับไม่ได้ทำงานตามที่ประกาศไว้แต่อย่างใด หรือถูกบังคับให้ค้าประเวณี ซึ่งเมื่อวีซ่าท่องเที่ยวหมดอายุก็จะถูกจับดำเนินคดีในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานมิได้ นิ่งนอนใจ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนคนหางานในกรณีดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงขอย้ำเตือนอีกครั้งว่าการเดินทางไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีอย่างถูกต้องตามกฎหมายมี 2 วิธีคือ 1) ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System for Foreign Workers : EPS) เป็นระบบที่รัฐบาลเกาหลีและหน่วยงานราชการต่างๆ เป็น ผู้ควบคุมดูแล รับผิดชอบ และดำเนินการโดยตรงเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของแรงงานต่างชาติ และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส ซึ่งประเทศไทยโดยกระทรวงแรงงานได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจการจัดส่งแรงงานไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติกับกระทรวงสาธารณรัฐเกาหลีมาตั้งแต่ปี 2547 โดยกรมการจัดหางานจะเป็นหน่วยงานผู้จัดส่ง ทำหน้าที่ในการรับสมัครคัดเลือก จัดส่ง เตรียมความพร้อม และดูแลคนงานที่เข้าไปทำงานระบบ EPS โดยประสานงานกับสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เกาหลี (HRD) ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับของสาธารณรัฐเกาหลีในทุกขั้นตอน ซึ่งอนุญาตให้ทำงานได้ 5 กิจการคือ 1) กิจการอุตสาหกรรมการผลิต 2) กิจการเกษตรกรรม/ปศุสัตว์ 3) กิจการก่อสร้าง 4) กิจการประมง 5) กิจการบริการ และจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลีก่อนจึงจะได้รับการจัดส่งรายชื่อให้นายจ้างเกาหลีคัดเลือกให้เข้าไปทำงาน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางในส่วนของประเทศไทยประมาณ 25,000–35,000 บาท สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ 
 
www.overseas.doe.go.th 2) แรงงานต่างชาติประเภทช่างฝีมือ ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติหรือขอวีซ่าจากกระทรวงยุติธรรมสาธารณรัฐเกาหลี โดยต้องผ่านการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐานจาก ROTRA (Korea Trade – investment Promotion Agency) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการคัดสรรคนงานที่มีทักษะฝีมือ หรือมีความสามารถผ่านระบบ HUNET KOREA สำหรับตำแหน่งพนักงานนวดหรือผู้ให้บริการนวดนั้น สาธารณรัฐเกาหลีไม่อนุญาตให้แรงงานต่างชาติทำงาน เพราะสงวนไว้ให้เฉพาะชาวเกาหลีที่พิการทางสายตาที่ผ่านการอบรมแล้วเท่านั้น
 
นายอารักษ์ฯ กล่าวอีกว่า กรมการจัดหางานจะมีการเตรียมความพร้อมให้กับคนหางานที่จะไปทำงานในต่างประเทศ โดยจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้อง เงื่อนไขตามสัญญาจ้างงาน ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี กฎหมาย ภาษา สภาพการจ้างงาน และการทำงานของประเทศที่จะไปทำงาน ตลอดจนหน่วยงานที่จะให้ความช่วยเหลือขณะอยู่ในต่างประเทศ เพื่อให้คนหางานสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องในขณะที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจ และกำลังใจในการทำงานของคนหางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันได้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีแล้วจำนวนทั้งสิ้น 58,316 คน (ตั้งแต่ปี 2547- เดือนกรกฎาคม 2559) โดยในปีงบประมาณ 2559 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 – 31 กรกฎาคม 2559 จัดส่งไปแล้วจำนวน 4,317 คน หากประสงค์จะไปทำงานต่างประเทศขอให้ตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางานก่อน โดยสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน หรือโทรศัพท์สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
 
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 6/8/2559
 
ก.แรงงานหนุน NGOs ร่วมต่อต้านการค้ามนุษย์
 
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัด กระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการเสวนา "เปิดใจ...การต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทย" ครั้งที่ 3/2559 กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้กระทรวงแรงงานเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะและแนวทางการดำเนินงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม และ NGOs โดยได้หารือถึงกรอบความร่วมมือใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานภาคประมงที่ทำงานอย่างถูกกฎหมายและช่วยเหลือแรงงานให้นำความรู้ไปประกอบอาชีพโดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตตามหลักมนุษยธรรม 2.การช่วยเหลือแรงงานประมงไทยกลับจากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือลูกเรือประมงกลับประเทศไทยเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้น 3.การจัดตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงแรงงานดำเนินการเพื่อ รับและส่งแรงงานต่างด้าวรวมถึงให้ คำปรึกษา ช่วยเหลือ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาด้านแรงงานนั้น แนวทางการทำงานจะดำเนินการร่วมกับ NGOs เนื่องจากองค์กรเหล่านี้ในพื้นที่หลายแห่งทำงานได้ดีและมีความเข้มแข็ง ภาครัฐเพียงแต่จะต้องเข้าไปสนับสนุนเพื่อให้การบริหารจัดการในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในเบื้องต้นจะจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานฯ ใน 10 จังหวัด (เชียงใหม่ สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี สงขลา สมุทรปราการ ชลบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ตาก และระนอง) เพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานที่ประสบปัญหากับนายจ้างจนต้องออกจากงาน โดยจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
 
 
กยศ.งัดมาตรการจูงใจผู้ชำระหนี้ จ่ายเงินคืนให้ 3% หากมาชำระหนี้ปิดบัญชีทั้งจำนวนช่วง 1 ส.ค.-30 ก.ย. นี้
 
น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่าคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้มีมติเห็นชอบมาตรการจูงใจให้ชำระหนี้กองทุน กยศ. และ กรอ. สำหรับผู้กู้ยืมที่ไม่ค้างชำระหนี้ หากมาชำระหนี้ปิดบัญชีทั้งจำนวนระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 30 ก.ย. 2559 จะได้รับเงินตอบแทน 3%ของเงินต้นคงเหลือ เป็นรางวัลตอบแทนให้แก่ผู้กู้ยืมที่ดี ชำระหนี้ตรงเวลา และมีความพร้อมในการชำระหนี้ปิดบัญชี
 
ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมที่ได้ชำระหนี้ปิดบัญชีเรียบร้อยแล้วต้องแจ้งความประสงค์ที่จะขอคืนเงินพร้อมหลักฐานยืนยันการชำระหนี้ปิดบัญชีให้แก่กองทุนฯ ประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืม และสำเนาสมุดบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทยเพื่อรับเงินคืนโอนเข้าบัญชี โดยรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ ส่งมาที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เลขที่ 89 อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ชั้น 5-6 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. 10400
 
ก่อนหน้านี้ กองทุนฯ ได้มีมาตรการจูงใจให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้ปิดบัญชี โดยจะลดเบี้ยปรับ 100% ให้กับผู้กู้ยืมที่มีหนี้ค้างชำระและมาชำระหนี้ปิดบัญชีทั้งจำนวนตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 ก.ย. 2559 กองทุนฯ จึงขอเชิญชวนผู้กู้ยืมทั้ง 2 กลุ่ม ร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นน้อง พร้อมรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการจูงใจดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2016-4888
 
 
แรงงานเปิดศูนย์จัดหางานผู้สูงวัย 10 ส.ค.
 
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยความคืบหน้าการกำหนดอัตราค่าจ้างของผู้สูงวัยตามนโยบายการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุของรัฐบาล ว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชนได้ไปทำการหารือกับผู้ประกอบการถึงการกำหนดอัตราค่าจ้าง รายละเอียดต่าง ๆ ของผู้ผสูงวัย ซึ่งคาดว่าจะได้รับรายงานรายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ เร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงาน ได้มีการหารือกับกระทรวงการคลังถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ เบื้องต้นกระทรวงการคลังได้เสนอให้มีการหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ซึ่งหลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะมีการประชุมหารือและรายงานให้รองนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการดำเนินนโยบายรัฐบาลในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ทางด้านกระทรวงแรงงานจะมีการเปิดศูนย์จัดหางานให้แก่ผู้สูงวัยอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ผู้สูงวัยมาลงทะเบียนเพื่อให้มีการจัดหางานให้ตรงตามความต้องการของทั้งลูกจ้างและนายจ้าง
 
 
แรงงานเร่งสรุปปมขึ้นค่าจ้าง ก.ย.นี้ คาดปรับขึ้นรายพื้นที่
 
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) เปิดเผยถึงความคืบหน้าหลังจากที่ให้คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างจังหวัดทั้ง 77 แห่ง ไปสำรวจข้อมูลในช่วง 6 เดือนทุกพื้นที่ เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจการส่งออกและอัตราเงินเฟ้อ ค่าใช้จ่าย และค่าครองชีพของแรงงาน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้าง โดยครบกำหนดไปเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้ส่วนตัวยังเห็นข้อมูลไม่ครบทุกจังหวัดแต่เบื้องต้นพบว่าหลายจังหวัดไม่เสนอขอปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และหลายจังหวัดขอปรับขึ้นบางจังหวัด ตั้งแต่ 10 - 60 บาท
 
ม.ล.ปุณฑริก เปิดเผยว่า แนวโน้มการปรับขึ้นค่าจ้างจะพิจารณาเป็นรายพื้นที่ไม่ใช่ปรับขึ้นเท่ากันหมดทั่วประเทศทั้งนี้เมื่อได้ข้อมูลมาครบ 77 จังหวัดแล้วจะให้ทางเลขานุการบอร์ดค่าจ้าง ไปพิจารณาว่าจะมอบให้อนุกรรมการฯแต่ละจังหวัด ไปวิเคราะห์และสรุปข้อมูลในภาพรวมแล้วเสนอมาอีกครั้ง หรือทางบอร์ดจะดำเนินการเอง
 
หลังจากนั้นก็จะนำข้อมูลผลสรุปภาพรวมทั้งหมดมาเข้าคำนวณ เพื่อให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นว่าควรจะปรับขึ้นค่าจ้างในจังหวัดที่เสนอขอปรับในอัตราเท่าใดจึงจะเหมาะสม และเสนอข้อมูลเข้าสู่บอร์ดค่าจ้างซึ่งจะประชุมกันในเดือน ส.ค.นี้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปการปรับขึ้นค่าจ้างภายในเดือนก.ย.นี้
 
 
เตือนหญิงไทยขุดทองต่างแดนระวังแก๊งนายหน้าหลอกขายตัว
 
เตือนหญิงไทยไปขุดทองต่างแดน ระวังถูกหลอกไปทำงานร้านอาหารแล้วบังคับให้ขายบริการทางเพศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นจะมีนายหน้าอ้างว่ามีรายได้เดือนละกว่าแสนบาทให้เหยื่อหลงเชื่อ
 
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่โรงแรมไอโฮเทล จังหวัดนครพนม มีการประชุมโครงการขับเคลื่อนการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานฯ และการประชุมอาสาสมัครแรงงานประจำตำบล
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิชาติ วงษ์กาฬสินธุ์ รักษาการราชการแทนจัดหางานจังหวัดนครพนม กล่าวเตือนหญิงไทยที่คิดจะไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น อาจจะถูกหลอกไปทำงานร้านอาหารแล้วบังคับให้ขายตัว
 
เรื่องราวดังกล่าวได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว กรมกงสุล กระ ทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการลักลอบขายบริการทางเพศ และสร้างรายได้มหาศาลแก่ผู้เกี่ยวข้อง จึงเกิดขบวนการส่งตัวผู้หญิงจากหลายประเทศเข้าไปขายบริการอย่างมากมาย จากการสืบสวนเชิงลึกพบว่า มีนายหน้าค้ามนุษย์จะออกตระเวนไปตามหมู่บ้านเป้าหมาย แล้วให้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ และตกลงเดินทางไปค้าบริการในญี่ปุ่น กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็สายเกินไปแล้ว
 
แก๊งนายหน้ามักจะอ้างว่าเป็นวีซ่าท่องเที่ยว สามารถเข้าทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในความจริงแล้ว ประเทศญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้ผู้ถือวีซ่าท่องเที่ยวทำงาน หากตรวจพบจะถูกจับกุมทันที ส่วนมากที่หญิงไทยถูกจับแล้วจะให้การพอสรุปได้ว่า สิ่งที่นายหน้านำมาอ้างมากที่สุดเพื่อล่อลวงเหยื่อก็คือเรื่องของรายได้ โดยจะบอกเหยื่อว่าจะมีรายได้ประมาณ 1 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไป แต่ในความจริงถ้าจะได้รับรายได้มากมายขนาดนั้นต้องขายแรงงานวันละไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งลักษณะนี้ก็เป็นสิ่งผิดกฎหมายของญี่ปุ่นอีกเช่นกัน
 
บางครั้งนายหน้าจะยื่นข้อเสนอแก่เหยื่อว่า ยังไม่เก็บค่านายหน้าหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเข้าญี่ปุ่น โดยจะให้เหยื่อค่อยๆ ผ่อนชำระ แต่เหยื่อจะไม่ทราบเลยว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ บางรายต้องชำระหนี้เป็นเงินสูงถึง 1.6-2 ล้านบาท ส่วนค่าที่พักและอาหาร นายหน้าจะหลอกว่าจัดให้ฟรี ความจริงแล้วเหยื่อต้องจ่ายเองทุกอย่าง โดยหักจากเงินรายได้ที่เหยื่อทำงานในสถานที่นั้น
 
นอกจากนี้ เจ้าของร้านหรือนายหน้ามักจะข่มขู่เหยื่อด้วยการให้กลุ่มนายหน้าเดินทางไปที่บ้านญาติของเหยื่อในประเทศไทย แล้วให้พูดโทรศัพท์พูดคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไป เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าหากคิดหลบหนี ญาติพี่น้องในเมืองไทยอาจจะถูกทำร้าย ดังนั้นหากแรงงานไทยผู้ใดถูกชักชวนไปทำงานร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ก็ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าท่านกำลังถูกหลอกให้ไปขายบริการแอบแฝงแน่นอน
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net