Skip to main content
sharethis

25 ส.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบกิจการระหว่างกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สภาการพยาบาล องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีสวัสดิการมุมนมแม่ และมีนโยบายที่อนุญาตให้พนักงานหญิงมีเวลาพักเพื่อบีบเก็บน้ำนมได้ ซึ่งเป็นสวัสดิการสำคัญที่จะช่วยให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง

“จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2555 พบว่ามารดาไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ปรากฏเพียงร้อยละ 12.3 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมาก ซึ่งสาเหตุสำคัญอันหนึ่งมาจากที่มารดาไทยต้องทำงานนอกบ้าน ในขณะที่สภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานไม่เอื้อต่อการบีบเก็บน้ำนม ดังนั้น กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน และมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย จึงริเริ่มทำงานร่วมกันเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบการกิจการ ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน สามารถผลักดันให้เกิด มุมนมแม่ในสถานประกอบการกิจการจำนวน 1,026 แห่ง มีต้นแบบมุมนมแม่ จำนวน 47 แห่งใน 17 จังหวัด และมีศูนย์เรียนรู้จำนวน 5 แห่งใน 3 จังหวัดที่สามารถเป็นแหล่งศึกษาดูงานและทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับสถานประกอบกิจการใหม่ๆ ที่สนใจดำเนินการในเรื่องนี้ จากการเก็บข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่  ในบริษัทที่เข้าร่วมโครงการสร้างงานดี ชีวีมีสุข ด้วยนมแม่ จำนวน 17 แห่ง พนักงานให้ข้อมูล 885 คน  พบว่ามีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนถึงร้อยละ 27.9 ในปี 2559” นพ.ปิยะสกล กล่าว

พรรณี ศรียุทธศักดิ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า “การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบกิจการถือเป็นความท้าทายเพราะประเทศไทยมีสถานประกอบกิจการถึง 400,000 แห่ง จึงต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อให้ผู้หญิงวัยทำงานมีโอกาสได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ในอัตราที่สูงขึ้น ดังนั้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จัดได้ว่าเป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนกลไกการสนับสนุน และส่งเสริม การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิงวัยทำงาน และคุณภาพชีวิตของเด็กแรกเกิด อันจะนำไปสู่การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศอย่างยั่งยืนและเกิดเป็นรูปธรรมในระยะยาว”

พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ทั้ง 7 องค์กร ที่มาร่วมลงนามความร่วมมือในวันนี้ ต่างเล็งเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะจะนำไปสู่การพัฒนาเด็กซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ แต่ละองค์กรจะให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และดำเนินการเช่น สภาการพยาบาลจะช่วยพัฒนาศักยภาพพยาบาลวิชาชีพในสถานประกอบกิจการ และ สสส. จะช่วยประสานกับองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐเอกชน และภาคประชาสังคมเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่”

“นมแม่เป็นอาหารชั้นยอดที่มีคุณค่ามากที่สุดต่อการพัฒนาทางร่างกายและสมองของทารก โดยที่ไม่มีอาหารอื่นใดจะเทียบเคียงได้” โธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว “ดังนั้น เพื่อให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ แม่ที่ต้องไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็นที่โรงงานหรือสำนักงาน ต้องมีเวลาและมีมุมนมแม่ที่ทำให้พวกเธอสามารถมาบีบเก็บน้ำนมในระหว่างวันได้  เรื่องนี้เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนของสังคมที่จะต้องมาร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนให้แม่ที่ต้องไปทำงานสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไปได้ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีที่สุดให้แก่เด็กๆ ของเรา ครอบครัวของเรา และประเทศของเรา”

ในงานนี้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เปิดตัวแอพลิเคชั่น “มุมแม่”หรือ  MoomMae เพื่อบริการเนื้อหาความรู้นมแม่ ข้อมูลคลินิกนมแม่ในโรงพยาบาลและสถานที่ตั้งของมุมนมแม่ด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net