คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลยินดีกับคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับพลเรือนในศาลทหาร แต่รัฐบาลทหารยังต้องดําเนินการอีกมากเพื่อที่จะให้เป็นไปตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
โดยคำสั่งฉบับดังกล่าวปรับใช้เฉพาะฐานความผิดที่ได้กระทำนับจากวันที่คำสั่งฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ซึ่ง ก็คือวันที่ 12 ก.ย.59 โดยไม่มีผลย้อนหลังไปถึงการกระทำความผิดในอดีตหรือคดีที่ยังคงค้างอยู่ในการพิจารณาของศาลทหาร
นับตั้งแต่รัฐประหารในเดือน พ.ค. 2557 ที่ผ่านมา มีพลเรือนอย่างน้อย 1,811 ราย ขึ้นศาลทหารโดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่กรมพระธรรมนูญได้ให้กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเมื่อเดือน ก.ค. 2559 โดยเป็นสถิติในช่วงระหว่างวันที่ 22 พ.ค. 2557 จนถึง วันที่ 31 พ.ค. 2559
“พลเรือนจำนวนเกือบ 2,000 รายได้เผชิญกับกระบวนการและการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมโดย ศาลทหาร พลเรือนจำนวนมากถูกดำเนินคดีเพียงเพราะใช้สิทธิของพวกเขาในเรื่องการแสดงเสรีภาพใน การแสดงออกและการชุมนุม” แซม ซารีฟี่ (Sam Zarifi) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ ICJ กล่าว พร้อมกล่าวอีกว่า “คดีที่ยัง คงค้างอยู่ในการพิจารณาควรถูกย้ายมาสู่ศาลพลเรือน อีกทั้งการดำเนินคดีต่อพลเรือนในศาลทหารตั้งแต่รัฐประหาร พ.ศ. 2557 ควรที่จะต้องยุติไว้ก่อน”
คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 55/2559 ยังได้ยืนยันโดยชัดแจ้งว่า คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ซึ่งเป็นคำสั่งฉบับ ที่เป็นปัญหาอย่างมาก(ออกมาบังคับใช้แทนที่กฎอัยการศึกและบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 เม.ย. 2558)และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2559 ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้ คำสั่งสองฉบับดังกล่าวห้ามการรวมตัวทางการเมืองของบุคคลมากกว่า 5 คน ให้อำนาจในการกักขังพลเรือนในที่คุมขังของทหารเป็นเวลาถึง 7 วัน โดยไม่ตั้งข้อหา รวมถึงกำหนดให้มี “เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” และผู้ช่วย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในระดับต่าง ๆ รวมถึงอาสาสมัครทหารพราน และให้มีอำนาจอย่างกว้างขวางในการป้องกันและปราบปรามความผิดอาญาจำนวน 27 ประเภทซึ่งครอบคลุมความผิดเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เสรีภาพและชื่อเสียง การเข้าเมือง การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และอาวุธ ทาง ICJ พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่สอดรับกับพันธกรณีเรื่องสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศไทย
“ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ฝ่ายทหารจะได้คืนความรับผิดชอบเรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้กลับเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน อีกทั้งประกันว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะได้รับการอบรมที่เหมาะสมและทรงประสิทธิภาพ” แซม กล่าว พร้อมกล่าวด้วยว่า “เราหวังว่าคำสั่งในวันนี้ จะเป็นก้าวย่างที่จะนำประเทศไทยกลับมาสู่หลักนิติธรรมและการเคารพสิทธิมนุษยชนต่อไป”
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)