7 ต.ค. 2559 จากกรณี ที่ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เผยแพร่ผลจากโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการประเมินหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบทั้งสิ้น 115 หน่วยงาน ประกอบไปด้วย สำนักงานศาล (เฉพาะหน่วยงานธุรการ) องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานสังกัดรัฐสภา หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน นั้น ซึ่งปรากฏว่า สำนักงาน ป.ป.ช. อยู่ในอันดับที่ 100 ได้เพียง 73.52 คะแนนเท่านั้น ขณะที่ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ที่ 94 ได้คะแนน 75.35 คะแนน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา สรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ชี้แจงว่าตามที่ปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะวิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ดังกล่าวนั้น ขอเรียนว่า การวัดคุณธรรมและความโปร่งใสในระบบราชการ (ITA) มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจหน่วยงานของรัฐว่ามีมาตรฐาน คุณธรรมและความโปร่งใสในระดับใด ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานนั้นๆ ไปพิจารณาประเด็นที่มีค่าคะแนนน้อย เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนั้นหน่วยงานที่ได้รับค่าคะแนนน้อย จะต้องปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้น เพื่อคุณธรรมและความโปร่งใสในภาพรวมของประเทศจะดีขึ้น และได้รับการยอมรับจากสากล สำหรับ สำนักงาน ป.ป.ช. สังคมอาจจะมองเรื่องความโปร่งใสเกี่ยวกับการขอข้อมูลหรือเปิดเผยข้อมูลทางคดีอันนี้จึงอาจเป็นจุดที่ทำให้ได้คะแนนประเมินในปีนี้ไม่สูง แต่เรื่องนี้ ป.ป.ช. มีความจำเป็นเนื่องจากข้อมูลทางคดีมีผลต่อการพิจารณา มีผลกระทบต่อบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในคดี ทำให้บางครั้งไม่อาจให้ข้อมูลหรือเปิดเผยได้ซึ่งก็คงต้องมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไป
จัดอันดับขององค์กรอิสระด้านตรวจสอบการทุจริต ไทยได้ที่ 10 จาก 16 ประเทศ
ขณะที่มีข่าวว่า สำนักงานป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระของไทย ถูกจัดอับดับอยู่อันดับที่ 12 ท้ายสุดในเอเชียตามรายงานขององค์กร PERC ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นจากนานาชาติ นั้น สรรเสริญ ขอเรียนว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเก่าเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2557 ซึ่งจากการจัดอันดับองค์กรอิสระด้านตรวจสอบการทุจริต ของ PERC ไทยอยู่อันดับที่ 12 จาก 16 ประเทศ แต่ต่อมาในเดือน เม.ย. 2558 PERC รายงานว่าองค์กรอิสระด้านตรวจสอบการทุจริตของไทยอันดับดีขึ้น โดยอยู่อันดับที่ 10 จาก 16 ประเทศ เรียงตามลำดับดังนี้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง มาเก๊า สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทยจีน ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียตนาม