10 ต.ค. 2559 เนื่องในวันยุติโทษประหารชีวิตสากลปีที่ 14 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ระบุมีอย่างน้อย 20 ประเทศใช้โทษประหารกับข้อหาก่อการร้ายเพิ่มขึ้นในปี 2558
โดยแถลงการณ์ระบุว่า ปี 2558 มีอย่างน้อย 20 ประเทศได้ตัดสินประหารชีวิตบุคคลหรือได้ทำการประหารชีวิตบุคคลในข้อหาก่อการร้ายไปแล้ว ได้แก่ แอลจีเรีย บาห์เรน แคเมอรูน ชาด จีน สาธารณรัฐคองโก อียิปต์ อินเดีย อิหร่าน อิรัก จอร์แดน คูเวต เลบานอน ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย โซมาเลีย ซูดาน ตูนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และสหรัฐอเมริกา มีการปกปิดข้อมูลการพิจารณาต่อคดีโทษประหารดังกล่าว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพบข้อมูลว่ามีการใช้โทษประหารลักษณะนี้จำนวนมากขึ้น
เจมส์ ลินช์ (James Lynch) รองผู้อำนวยการแผนก ประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับสากล, แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่ามีการใช้โทษประหารชีวิตมากขึ้นเพื่อเป็นการตอบโต้การก่อการร้าย ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดพลาดโดยหน่วยงานของรัฐ ไม่มีหลักฐานใดบอกว่าโทษประหารชีวิตมีส่วนช่วยป้องกันการก่ออาชญากรรมรุนแรงได้ดีกว่าการลงโทษแบบอื่น โทษประหารชีวิตเป็นการแก้ปัญหาที่สะท้อนความอ่อนแอและความรีบเร่งในการดำเนินคดีมากกว่า
“การใช้ความรุนแรงทำร้ายประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดความยากลำบากต่อครอบครัวและผู้ตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ใช่สิ่งที่ชอบธรรมเลย รัฐบาลต้องสอบสวนและนำตัวผู้รับผิดชอบมาลงโทษ แต่การที่รัฐใช้อำนาจสั่งการให้ประหารชีวิตบุคคลไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา แต่กลับทำให้เกิดความอยุติธรรมและความทุกข์ทรมานมากขึ้น และทำให้มีวงจรความรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ต่อไป โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“โทษประหารชีวิตนั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัจจุบันกว่าสองในสามของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตัดสินใจยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลทุกประเทศจึงควรปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน” เจมส์ ลินช์ กล่าว
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิต ตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และถือเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม
ข้อมูลเพิ่มเติม
ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลร่วมกับขบวนการขับเคลื่อนเพื่อต่อต้านโทษประหารทั่วโลกจะจัดวันต่อต้านโทษประหารสากลเป็นครั้งที่ 14 โดยเน้นที่การใช้โทษประหารกับความผิดด้านการก่อการร้าย ซึ่งถือเป็นประเด็นที่สำคัญในช่วงเวลานี้ แม้ว่าการโจมตีด้วยการใช้อาวุธและความรุนแรงอาจไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการก่อความรุนแรงครั้งใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยในหลายกรณีเกิดขึ้นเนื่องจากความไร้เสถียรภาพและความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก
สำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิก10 ประเทศนั้น กัมพูชาและฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาแล้วทุกประเภท ส่วนลาว พม่า และบรูไน ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ (การที่ยังคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต แต่ได้ระงับการประหารชีวิตเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และเวียดนามยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่
ตัวเลขและสถิติ
140 ประเทศทั่วโลกหรือกว่าสองในสามของโลก ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติแล้ว
103 ประเทศยกเลิกโทษประหารสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภท
58 ประเทศยังคงกำหนดให้มีโทษประหารชีวิตในกฎหมาย
25 ประเทศมีการประหารชีวิตบุคคลในปี 2558
5 ประเทศที่มีการประหารชีวิตมากสุดในโลกในปี 2558 คือ จีน อิหร่าน ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอเมริกา
สถานการณ์ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษอนุญาตให้ลงโทษประหารชีวิตกับความผิดฐานผลิต นําเข้า หรือส่งออกยาเสพติด “ประเภท 1” หรือ “อันตราย” เพื่อจําหน่ายหรือครอบครองเกิน 20 กรัม หรือล่อลวงหรือบังคับขืนใจให้ผู้หญิงหรือบุคคลที่ด้อยความสามารถเป็นผู้ขนส่งสารผิดกฎหมาย จนถึงปลายปี 2557 ประเทศไทยมีนักโทษประหาร 645 คน โดยเกือบครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นนักโทษคดียาเสพติด
ประเทศไทยมีการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2552 นับเป็นปีที่ 7 แล้วที่ไม่มีการประหารชีวิต ซึ่งหากไม่มีการประหารชีวิตครบ 10 ปีติดต่อกัน ทางองค์การสหประชาชาติจะถือว่าเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติทันที ซึ่งจะถือเป็นความก้าวหน้าทางด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับประเทศไทยก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่ง
ปลายปี 2557 ทางการไทยรับรองแผนแม่บทสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 3 (2557-2561) ซึ่งมีเป้าหมายหนึ่งคือการยกเลิกโทษประหารชีวิต ส่วนกระทรวงยุติธรรมเริ่มกระบวนการปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจํากัดการใช้โทษประหารชีวิตมาตั้งแต่ปี 2558