ผู้ก่อร้าย ผู้อพยพชาวโรฮิงญา หรือหน่วยงานความมั่นคง? ภัยต่อความมั่นคงของไทย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ช่วงเดือนที่ผ่านมา ข่าวคราวความรุนแรงในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาก็ปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง จากการโจมตีที่ตั้งของกองกำลังตำรวจชายแดนจนมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 9 คน บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ที่นำไปสู่การปิดล้อมตรวจค้นชุมชนชาวโรฮิงญา โดยเฉพาะในสองเมืองชายแดนทั้งมองดอว์ และราธีดอง ในรัฐยะไข่ ที่มีรายงานถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งการยิงทิ้งชาวโรฮิงญาทั่วไป ยึดทรัพย์สินมีค่า เผาที่พักอาศัย รวมถึงการข่มขืนหญิงสาวของทหารกองทัพเมียนมา แม้ว่าจนถึงปัจจุบัน (31 ตุลาคม 2559) องค์กรสิทธิมนุษยนชนจะคาดว่ามีชาวโรฮิงญาที่ถูกไล่ออกจากที่พักอาศัยของตนประมาณ 15,000 คน ซึ่งยังน้อยกว่าเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2555 ที่มีคนมากกว่า 150,000 คน พลัดพรากจากที่พักอาศัยของตน แต่ก่อนที่ความรุนแรงในปีนี้จะขยายตัวและนำไปสู่การอพยพระลอกใหม่ ในปี 2559-2560 ที่จะส่งผลกระทบต่อไทยในอนาคต ในฐานะเพื่อนบ้านและเส้นทางการเดินทางอพยพของชาวโรฮิงญา

การประชุมสภากลาโหมที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีกลาโหม เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม “ที่ได้กำชับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมติดตามสถานการณ์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์การสู้รบและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสและกลุ่มหัวรุนแรงที่เคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่สู้รบทั้งอิรัก และซีเรีย ที่มีแนวโน้มว่ากลุ่มไอเอสและกลุ่มหัวรุนแรงจะกระจายหลบหนีเข้าไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงสถานการณ์ของชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ด้วย ที่มีแนวโน้มว่าจะมีผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อไปประเทศปลายทาง” ก็ละเลยความสำเร็จที่ผ่านมาของรัฐบาลไทยในการใช้แนวทางใหม่ในการจัดการปัญหาการหลบหนีเข้ามาของชาวโรฮิงญา ที่นอกเหนือจากการมอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงจัดการเท่านั้น

ความสำเร็จของไทยในการหยุดยั้งการหลบหนีเข้ามาของชาวโรฮิงญาหลังเหตุการณ์ในปี 2555 คือการบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มุ่งปกป้องและคุ้มครองกลุ่มผู้อพยพที่มีความเสี่ยงแม้ว่าจะไม่ได้มีสัญชาติไทยก็ตาม โดยความร่วมมือหลายหน่วยงาน รวมถึงองค์กรประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศ มากกว่าการใช้แนวนโยบายและหน่วยงานความมั่นคง เช่น กอ.รมน. ที่ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนในตอนนั้นต่างก็ถูกจับและกำลังถูกพิจารณาคดีฐานมีผลประโยชน์จากขบวนการค้ามนุษย์

ขณะที่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หลายคนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ก็ต่างมีความกังวลมากขึ้น กองกำลังของรัฐบาลเมียนมาได้เปลี่ยนจากสถานะของผู้ที่ถูกโจมตีในวันที่ 9 ตุลาคม กลายเป็นฝ่ายที่เปิดฉากการโจมตีตอบโต้ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มติดอาวุธแต่รวมถึงชุมชนของชาวโรฮิงญา กลุ่มชาติพันธุ์ที่รัฐบาลเมียนมาไม่เคยรับเป็นพลเมืองของตน กลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงจากกองกำลังทหารเมียนมามาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ครั้งล่าสุดเหตุการณ์ความรุนแรงทางศาสนาในปี 2555 และเหตุการณ์ในปัจจุบันที่กองทัพเมียนมาเปิดปฏิบัติกวาดล้างโดยเฉพาะในเขตเมืองชายแดน ทั้งมองดอว์ บูธิดอง และราธีดอง ที่ชาวโรฮิงญาเป็นคนกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่

หัวหน้าตำรวจเมียนมา พลตำรวจเอก ซอว์ วิน (Police Force Chief Maj-Gen Zaw Win) แถลงข่าวเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม มีตำรวจเสียชีวิต 9 คน และบาดเจ็บ 5 คน จากการโจมตีสำนักงานตำรวจ และจุดตรวจในเมืองมองดออว์ และราธีดอง เมื่อเช้าของวันที่ 9 ตุลาคม หัวหน้าตำรวจเมียนมาอ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่ม Rohingya Solidarity Organization หรือ RSO กลุ่มติดอาวุธของชาวโรฮิงญาที่เคลื่อนไหวในบริเวณชายแดน ระหว่างช่วงทศวรรษที่ 1980 - 1990 แต่ก็ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวมากว่า 20 ปี ต่อมามีการกล่าวอ้างว่าเป็นฝีมือของกลุ่มขบวนการขนาดเล็กในท้องถิ่นที่ชื่อว่า Aqa Mul Mujahidin (AMM), Faith Movement of Arakan (FMA), Harakat al Yaqin และ Kebangkitan Mujahid Rohingya (KMR) ที่รัฐบาลเมียนมากล่าวอ้างว่าเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับ RSO และกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงในปากีสถาน

ภายหลังเหตุการณ์ หัวหน้าตำรวจในท้องถิ่นถูกปลด กองทัพก็ได้เคลื่อนกำลังเข้าในพื้นที่เมืองชายแดนของรัฐยะไข่ เริ่มใช้กำลังตรวจสอบโดยเฉพาะในชุมชน หมู่บ้านของชาวโรฮิงญา ชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 29 คนถูกยิงเสียชีวิต 12 คนถูกจับ ขณะที่ Habib Siddiqui นักเคลื่อนไหวของชาวโรฮิงญาอ้างว่า มีชาาวโรฮิงญามากกว่า 50 คนถูกยิงเสียชีวิต กว่า 100 คนบาดเจ็บ และอีก 150 คนถูกจับอย่างทารุณ ขณะที่ชาวโรฮิงญาอีกกว่า 15,000 คนถูกขับไล่ออกบ้านหรือหนีออกมาก่อนเพราะความหวาดกลัวการใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่ ชาวโรฮิงญาประมาณ 2,000 คน ถูกให้ออกจากหมู่บ้านก่อนที่ทหารจะตรวจค้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาเพื่อมาพบว่าทรัพย์สินสูญหาย และบ้านหลายหลังถูกเผา

ฟารุก (Farukh) อายุ 23 ปี จากหมู่บ้าน Kyee Kan Pyin ตอนเหนือของมองดอว์ เมืองชายแดนของรัฐยะไข่ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า "ในวันที่ 23 ตุลาคม กองกำลังชายแดนได้เข้ามาในหมู่บ้านและก็ทำลายชุมชนของเขาไปหมด พวกเรารีบอออกจากบ้าน แล้วหนีไปหมู่บ้านใกล้ๆ เมืองมองดอว์ เราต้องเดินเท้ากันไป ผมไปพร้อมกับแม่ และน้องสาวอีก 3 คน รววมถึงหลานอีก 3 คน คนในหมู่บ้านทั้งหมดกว่า 2,000 คน ถูกไล่ออกจากบ้านหมด หลายวันต่อมาเราก็กลับเข้าไปก็เห็นบ้านประมาณ 40 หลังถูกเผา โดยทหาร ตำรวจ และคนยะไข่ พวกเราไม่เหลืออะไร ครอบครัวผมด้วย"

นักข่าวของรอยเตอร์สามารถติดต่อและสัมภาษณ์หญิงชาวโรฮิงญาอายุ 40 ปี จากหมู่บ้าน U Shey Kya ในมองดอว์ ได้ทางโทรศัพท์เธอบอกว่าถูกข่มขืนโดยทหารพม่า 4 คน รวมถึงลูกสาววัย 15 ของเธอด้วย นอกจากนั้นยังถูกขโมยทรัพย์สินมีค่าของครอบครัวไปด้วย เช่นเดียวกับหญิงชาวโรฮิงญาอีก 5 คน ที่ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับรอยเตอร์ โดยทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อทหารประมาณ 150 นาย เข้ามาในหมู่บ้าน U Shey Kya ในวันที่ 19 ตุลาคม ผู้ชายในหมู่บ้านหลบหนีออกไปก่อนเพราะกลัวจะถูกจับ จึงเหลือเพียงแต่ผู้หญิงในหมู่บ้านเพราะเชื่อว่าทหารจะเผาเฉพาะบ้านที่ไม่มีคนอยู่ หญิงชาวโรฮิงญาจึงเลือกที่จะอยู่บ้าน ไม่ได้หนีออกไปกับกลุ่มผู้ชาย

องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างประเทศได้รับรายงานที่ยืนยันการฆ่าชาวโรฮิงญาที่ไม่มีอาวุธโดยไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย ชายสามคนในหมู่บ้าน Myothugyi เขตเมืองมองดอว์ ถูกยิงเสียชีวิตโดยทหาร ชาวโรฮิงญาในหมู่บ้านบอกว่า “ทหารเอาผู้ชายในหมู่บ้านไปสามคน และยิงทิ้ง ทหารไม่ได้จับกุมใคร แต่ตั้งใจมาฆ่าพวกเขา” แม้ว่าชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครั้งนี้ไม่มากเท่ากับเหตุการณ์ความรุนแรงทางศาสนาในปี 2555 ที่ทำให้คนกว่า 150,000 คน ไร้ที่อยู่ และอีกหลายหมื่นคนต้องอพยพหลบหนีออกจากบ้านเกิดเข้ามาในประเทศไทย

ในประเทศไทย รัฐบาลไทยก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยที่ทำให้การจัดการปัญหาผู้อพยพทางเรือชาวโรฮิงญาในปี 2558 ประสบความสำเร็จ และยังคงดำเนินการภายใต้แนวนโยบายที่ยังอยู่ภายในกรอบการใช้แนวคิดและหน่วยงานด้านความมั่นคง ปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองของชาวโรฮิงญาที่เข้าข่ายการเป็นผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกันกับ อุยกูร์ และเกาหลีหนือ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่มีการตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อดูแลระบบจัดการผู้ลี้ภัย และพิจารณาจัดทำนโยบาย แผนยุทธศาสตร์เรื่องระบบการจัดการผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวนโยบายและหน่วยงานที่ทำให้การอพยพหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยของชาวโรฮิงญาเพิ่มมากขึ้นตลอดตั้งแต่ปี 2555-2557

ความสำเร็จของรัฐบาลไทยที่เกิดขึ้นในปี 2558 มาจากการทำงานอย่างหนักของหน่วยงานที่มีภารกิจในการปกป้องคุ้มครองกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง ทั้งพัฒนาสังคมและความมั่นคงจังหวัด บ้านพักเด็กและครอบครัว ในหลายจังหวัดภาคใต้ ทีมสหวิชาชีพที่ทำให้การคัดแยกกลุ่มที่มีความเสี่ยง มีความจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ออกจากกลุ่มที่หลบหนีเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และนำไปสู่การประสานงานกับองค์กรประชาสังคม องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือในแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่เป็นชาวบังกลาเทศ ชาวโรฮิงญา กลุ่มที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ กลุ่มผู้หญิงและเด็ก รวมถึงกลุ่มที่เข้าข่ายการเป็นผู้ลี้ภัย

กลุ่มผู้อพยพชาวบังกลาเทศ ก็ถูกแยกออกไปเพื่อรอการตรวจสอบสอบจากสถานทูตบังกลาเทศ และหากยืนยันว่าเป็นชาวบังกลาเทศก็จะดำเนินการรับตัวกลับประเทศ ซึ่งก็จะเหลือกลุ่มผู้อยพยพชาวโรฮิงญาที่รัฐบาลไทยก็ทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศในการดำเนินการหาประเทศที่สามเพื่อรับไปตั้งถิ่นฐานในปัจจุบัน ขณะที่กลุ่มที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ก็มีแนวทางในการดูแลตามกฎหมายป้องกันและปรามปรามการค้ามนุษย์ แม้ว่าปัจจุบันไทยจะยังคงมีการควบคุมกักขังชาวโรฮิงญาอยู่แต่ก็มีจำนวนที่น้อยลงอย่างชัดเจน และมีกลไกการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน

ฉะนั้นก่อนที่จะเกิดการอพยพหนีออกมาจากรัฐยะไข่อีกครั้งในปี 2559 หรือในปี 2560 รัฐบาลไทยจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายกดดันต่อรัฐบาลเมียนมาให้หยุดใช้ความรุนแรงไม่ว่ากับใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในประเทศเมียนมา เพื่อที่จะหยุดการผลักดันกลุ่มชาวโรฮิงญาให้ต้องหลบหนีออกจากรัฐยะไข่ บ้านเกิดของพวกเขา แต่หากรัฐบาลไทยจะคำนึงความต้องการของรัฐบาลเมียนมามากกว่าการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต การกำหนดแนวนโยบายที่เหมาะสมและต่อเนื่องจากความสำเร็จจากนโยบายในช่วงปี 2558 ก็เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น

รัฐบาลไทยควรต้องทำให้กลไกการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในระดับอาเซียน และกลไกภายในประเทศ ที่ไม่ควรอยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานความมั่นคงเท่านั้น ทั้งกลไกการทำงานระหว่างรัฐบาลกับองค์กระหว่างประเทศ กลไกการทำงานในระดับพื้นที่ระหว่างหน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม รวมถึงกลไกการกำกับควบคุมการใช้อำนาจของหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ที่จะไม่นำไปสู่การหาผลประโยชน์จากการอพยพหนีภัยความรุนแรงของชาวโรฮิงญา และการละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน การบังคับส่งชาวโรฮิงญากลับไปหาความตายที่บ้านเกิดอีกครั้ง

ภัยต่อความมั่นคงของไทยที่ผ่านมาคือการปล่อยให้หน่วยงานความมั่นคงใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ละเลยการดำเนินตามกฎหมายที่มุ่งปกป้องคุ้มครองคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ผลักดันให้พวกเขาต้องหันไปหาขบวนการนอกกฎหมายและกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงการไม่ยอมรับการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาละเลยมิติที่จำเป็นอื่นๆ ไม่ได้นำไปสู่กระบวนการการแก้ไขปัญหาที่จะลดเงื่อนไขในการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นมา ดังที่เราเคยมีประสบการณ์มาแล้วในอดีต

ความสำเร็จของไทยต่อปัญหาการหลบหนีเข้ามาทางทะเลของชาวโรฮิงญา คือการดำเนินการที่ควบคู่กันไประหว่างความมั่นคงของรัฐ และความมั่นคงของมนุษย์ ที่ไม่มีการจำแนกแยกแยะว่าเป็นคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงไม่ใช่ไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นการป้องกันการเติบโตของกลุ่มขบวนการนอกกฎหมาย และกลุ่มที่นิยมความรุนแรงในอนาคต
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท