คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกรายงานผลการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่อยู่ในการพิจารณาวาระสองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ 25 ต.ค. 2559 โดยแสดงความเห็นในประเด็นการกำหนดฐานความผิดและองค์ประกอบฐานความผิด ดังนี้
"ร่างมาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
- ร่างมาตรา 14 (1) แม้จะเพิ่มเติมองค์ประกอบฐานความผิดว่าผู้กระทำต้องมีเจตนา "โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง" แต่ยังเปิดช่องให้เกิดการตีความไปใช้กับการหมิ่นประมาทได้ ทั้งนี้เจตนารมณ์ของกฎหมายนี้เพื่ออุดช่องว่างของกฎหมายอาญาเดิมในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร ที่ยังไม่รวมการปลอมแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อย่างการส่งอีเมลหลอกลวงว่ามาจากธนาคาร (ฟิชชิ่ง) หรือสร้างเว็บปลอมหลอกให้กรอกข้อมูล
- ร่างมาตรา 14 (2) มีการเพิ่มข้อความขึ้นมาเพื่อกำหนดความผิดสำหรับการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ แต่ยังเป็นถ้อยคำที่มีความหมายกว้างขวาง ไม่มีนิยามชัดเจน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการตีความเกินเลย และใช้อำนาจแทรกแซงการแสดงความเห็นและโอกาสในการรับทราบข้อมูลข่าวสารในระบบคอมพิวเตอร์เกินความจำเป็น
ร่างมาตรา 20 ในกรณีที่มีการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังต่อไปนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นอาจจากระบบคอมพิวเตอร์ได้
(4) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอื่น แต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวตามที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจให้มีคำสั่งระงับการแพร่หลายหรือลบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้
คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง (4) ให้มีจำนวนห้าคนซึ่งสองในห้าคนต้องมาจากผู้แทนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
- ร่างมาตรา 20 มีการเพิ่มเติมให้ระงับหรือลบเนื้อหาที่ไม่ผิดกฎหมายแต่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน - การใช้ถ้อยคำลักษณะนี้กว้างขวางคลุมเครือ ไม่ชัดเจนว่าเนื้อหาประเภทใดที่อาจถูกพิจารณาระงับและลบการทำให้แพร่หลาย และการกำหนดให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ สองจากห้าคน เป็นตัวแทนภาคเอกชน ขาดหลักประกันด้านที่มาและคุณสมบัติบุคคลที่ไม่ได้คำนึงถึงผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านกฎหมาย รวมถึงด้านสิทธิเสรีภาพ อาจส่งผลต่อความโปร่งใส ประสิทธิผลการทำงาน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพบุคคล