ชำนาญ จันทร์เรือง: หลัง 8 พฤศจิกา อเมริกาไม่เหมือนเดิม

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

 

ในที่สุดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ก็คือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งการเข้าสู่การชิงชัยของเขาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมอเมริกาอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปแบบการหาเสียงในการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อเป็นผู้แทนพรรครีพับลิกันของเขาที่ใช้การหาเสียงผ่านทางสื่อเพียงอย่างเดียวจนเมื่อได้รับการคัดเลือกเป็นผู้แทนพรรคแล้วจึงได้ใช้วิธีการปราศรัยและพบปะผู้คน

เริ่มจากตัวคุณลักษณะของทรัมป์เองที่เป็นแบบฉบับผู้ชายอเมริกันผิวขาวดั้งเดิมที่เรารู้จักกัน คือ Macho Man ที่หมายถึงผู้ชายที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นชายของตนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งพวกนี้ออกจากห่ามๆ ตึ่งตัง แบบว่าข้าแน่มาก ชอบโวยวาย ที่แย่คือมักดูถูกเพศตรงข้าม และนึกอยู่เสมอว่าข้าเหนือกว่าผู้หญิงทุกประการ ดังนั้น ในชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวจะข่มผู้หญิงตลอด พวกนี้จะใช้ชีวิตแบบที่แสดงออกว่าข้าคือ Macho man เช่น การแต่งตัว กินเหล้า สูบบุหรี่ การเล่นหาความสนุกสนาน หรือการเข้าสังคม ฯลฯ

หรือหากจะวิเคราะห์ในแง่ของการแต่งเนื้อแต่งตัวก็อาจจัดอยู่ในประเภท Retrosexual คือไม่แคร์ว่าต้องดูดีแต่พวกเขาเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ธรรมชาติสร้างมา ไม่มีการเสริมเติมแต่ง หรือเพิ่มความดูดีลงไปในภาพลักษณ์ ไม่ชอบใช้ครีม หรือโลชั่น เพราะมองว่านี่ไม่ใช่วิถีที่ผู้ชายควรปฏิบัติ ลักษณะภายนอกของผู้ชายแบบ Retrosexual มักดู “ดิบ” และ “เถื่อน”

เมื่อมองถึงพฤติกรรมส่วนตัวของทรัมป์ที่สวนทางกับบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่พยายามทำให้ดูดีเพื่อเรียกคะแนนเสียง แต่ทรัมป์กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม เช่น การพูดจาอย่างไม่ระมัดระวังและหยาบกร้านต่อญาติของทหารอเมริกันมุสลิมที่เสียชีวิตในสงครามอิรัก หรือการกล่าวโจมตีต่อผู้อพยพเข้าเมือง จนแม้กระทั่งเสนอนโยบายให้มีการสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก มิหนำซ้ำยังจะให้เม็กซิโกเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการสร้างกำแพงนั้นเสียอีก

ในคำปราศรัยของเขาก็ล้วนแล้วแต่มุ่งให้นำไปสู่ความรุนแรง เช่น ยุให้คนจัดการกับคลินตันด้วยคำว่า “lock her up” ซึ่งหมายความว่า “เก็บเธอซะ” เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นยังกล่าวว่าจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเว้นเสียแต่ว่าเขาเป็นผู้ชนะเพราะเชื่อว่ามีการโกงเลือกตั้ง(rigged) และสิ่งฝืนความรู้สึกของคนอเมริกันที่ถูกกล่อมเกลาทางการเมืองมาโดยตลอดว่าสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียนั้นคือคู่ปรับของสหรัฐอเมริกา แต่ทรัมป์กลับไปชื่นชมปูตินผู้นำรัสเซียเสียนี่

จากประวัติส่วนตัวของทรัมป์เองก็มีจุดบกพร่องไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีมาเป็นสิบๆ ปี หรือการที่มหาวิทยาลัยของเขา คือ ทรัมป์ยูนิเวอร์ซิตี้ เปิดอบรมราคาแพงโฆษณาเกินจริงว่ามีวิทยากรที่มีชื่อเสียง แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วไม่เป็นไปตามนั้น จนเป็นคดีฟ้องร้องกันถึงโรงถึงศาลว่าเป็นการหลอกลวงหรือต้มตุ๋น มิหนำซ้ำยังถูกเปิดโปงจากผู้หญิงที่กล่าวหาว่าเขาคุกคามทางเพศถึง 11 คน จนทำให้คะแนนนิยมซวดเซห่างจากคลินตันถึง 2 หลัก แต่คลินตันเองก็ถูกพิษสงของ ผอ.เอฟบีไอ ที่ 11 วันก่อนการเลือกตั้งได้ออกมาเปิดเผยอีเมล์ของอดีตสามีของคนสนิทของเธอว่าอาจมีส่วนเกี่ยวพันถึงตัวคลินตัน แม้ว่า 2 วันก่อนการเลือกตั้ง ผอ.เอฟบีไอจะออกมายืนยันว่าเป็นข้อมูลที่ซ้ำกับของเก่าและไม่เกี่ยวพันทางกฎหมายกับคลินตัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว

ทำไมทรัมป์จึงได้รับความนิยม

ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คงในทำนองเดียวกันกับการที่ทำไมคนไทยส่วนหนึ่งถึงชอบคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์นั่นแหล่ะครับ แต่หากจะอธิบายเชิงวิชาการก็คือความนิยมที่มีต่อทรัมป์นั้นสะท้อนให้เห็นความแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างลึกซึ้งในสังคมอเมริกัน การที่คนอเมริกันนิยมทรัมป์มิใช่เพียงต้องการให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเท่านั้น แต่คนที่เลือกทรัมป์เชื่อว่าเป็นโอกาสของเขาที่จะแสดงออกถึงความรักชาติที่มีภารกิจที่ชอบธรรมและมีความจำเป็นของพวกอนุรักษ์นิยมที่จะต้องออกมาปกป้องอเมริกาให้รอดพ้นเงื้อมมือของพวกเสรีนิยมที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะถูกฝ่ายอื่นมองว่าเป็นพวกบ้านนอกที่หัวดื้อเซ่อซ่าไร้การศึกษาและเหยียดผิวก็ตาม

แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาแล้วแน่นอนว่ามันคงไม่ใช่จุดยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะผลจากความรู้สึกของคนขาวที่มีความรู้สึกว่ากลุ่มของตนเองเล็กลงเรื่อยๆ(ปัจจุบันอเมริกามีประชากรประมาณ 325 ล้านคน เป็นคนผิวขาว 61.6 %,คน Hispanics หรือคนที่มีเชื้อสายละตินอเมริกัน 17.6%,คนดำ 13.3 %,คนเอเชีย5.6%,คนพื้นเมืองหรือ Native American 1.4% ที่เหลืออีก 0.5% ก็เป็นเชื้อชาติอื่นๆ) และมิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเสียงส่วนน้อยในสังคมอเมริกันในอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่พวกอนุรักษ์นิยมผิวขาวทนไม่ได้

อเมริกาเป็นผลผลิตของคนหลายเชื้อชาติหลายเผ่าพันธุ์ที่มี่ความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมแตกต่างกันอย่างมาก ความรุนแรงจากความแตกแยกเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า บาดแผลจากประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมืองที่เกือบทำให้อเมริกาต้องแยกเป็น 2 สาธารณรัฐ(หรือมากกว่า),การสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี และการสังหารมารติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ซึ่งแผลยังไม่หายสนิท แต่ปรากฏการณ์ของทรัมป์ได้สร้างความแตกแยกตามรอยปริของชนชั้น และชาติพันธุ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าความรุนแรงของการประท้วงที่นอกจากเดิมจะมาจากคนผิวดำแล้วก็จะมีการตอบโต้หรือการประท้วงจากคนผิวขาวทั้งใต้ดินและบนดินอีก ซึ่งล่าสุดโพลของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดโดย Institute of Politics(IOP) ว่า คนหนุ่มสาว 51 %มีความหวาดกลัว(fearful)มากขึ้นต่ออนาคตที่จะเกิดขึ้นของประเทศ นอกจากนั้นหรือแอฟริกันอเมริกันหรือคนดำ 85% กับ พวกHispanics 72%บอกว่าขณะนี้พวกเขาอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกโจมตี (attack) อีกด้วย

อเมริกาเปี่ยนไป๋แล้วครับ

0000

หมายเหตุ แก้ไขปรับปรุงจากการเผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 9 พ.ย. 59

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท