Skip to main content
sharethis

เครือข่ายภาคประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ออกแถลงการณ์จี้รัฐถอน พ.ร.บ.แร่ ออกจากการพิจารณาของ สนช. พร้อมประณาม ขรก.-สนช.-คสช. บางส่วนที่พยายามนำร่าง พ.ร.บ.แร่ฉบับ ครม. เข้าพิจารณาแทน ร่างแก้ไขในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ

ภาพถ่ายขุมเหมือง เหมืองแร่ทุ่งคำ จังหวัดเลย (ที่มา: แฟ้มภาพ/ประชาไท)

สืบเนื่องจากกรณีการเลื่อนวาระการประชุมของสภานิตบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2559 ซึ่งมีวาระสำคัญที่ สนช. จะต้องพิจารณาคือ การพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติ แร่ พ.ศ. ..... (พ.ร.บ.แร่) ล่าสุดได้มีการนำวาระดังกล่าว เสนอเข้าที่ประชุมของ สนช. อีกครั้งในวันที่ 8 ธ.ค. (พรุ่งนี้) ซึ่งจะเป็นการนำร่าง พ.ร.บ.แร่ เข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 เพื่อตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป

วันนี้ (7 ธ.ค. 2559) ทางเครือข่ายฯ ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอให้ถอนร่างกฎหมายแร่ฉบับๆ ก็ตามออกจากการพิจารณาของ สนช. อย่างถาวร แล้วสร้างกระบวนการร่างกฎหมายแร่ใหม่ร่วมกับประชาชนในช่วงที่บ้านเมืองมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว

โดยใจความสำคัญในแถลงการณ์ ระบุว่า ในส่วนของภาคประชาชนยังเห็นว่าร่างกฎหมายแร่ทั้งสองฉบับ ระหว่าง ‘ร่างฯฉบับ ครม. ที่มีเนื้อหาเดิม’ และ ‘ร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ’ ยังมีจุดอ่อนอีกมากจนทำให้เป็นร่างฯที่ไม่ดีพอต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ตัวจริง เสมือนกับแนวคิดเดียวกันที่ว่า ‘ผืนดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ’ ฉันใด ‘แร่ต้องเป็นของเจ้าของที่ดิน’ ฉันนั้น ซึ่งร่างฯทั้งสองฉบับยังไม่ยอมรับหลักการนี้  เพราะได้กำหนดหลักการให้ ‘แร่เป็นของรัฐ’ เพื่อที่รัฐจะมีสิทธิอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียวให้แก่ใครก็ได้  แม้ว่าแร่จะอยู่ใต้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ในครอบครองและการใช้ประโยชน์ของประชาชนที่ไม่ยินยอมให้ที่ดินนั้นถูกขุดเจาะจากการสำรวจและทำเหมืองแร่ก็ตาม

ในแถลงการณ์ระบุด้วยว่า ขอประณามการวิ่งเต้นของข้าราชการ  และสนช. บางส่วนกับรัฐบาลทหาร คสช. บางคนที่ประสงค์จะนำ ‘ร่างฯฉบับ ครม. ที่มีเนื้อหาเดิม’ เข้ามาพิจารณาแทน ‘ร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ’ ในการประชุมของ สนช. วาระสองและสามในวันพฤหัสฯที่ 8 ธันวาคมนี้ และขอให้รัฐบาลทหาร คสช. ถอนร่างกฎหมายแร่ฉบับใด ๆ ก็ตามออกจากการพิจารณาของ สนช. อย่างถาวร  แล้วสร้างกระบวนการร่างกฎหมายแร่ใหม่ร่วมกับประชาชนในช่วงที่บ้านเมืองมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว

000

แถลงการณ์

ขอให้ถอนร่างกฎหมายแร่ฉบับใด ๆ ก็ตามออกจากการพิจารณาของ สนช. อย่างถาวร 

แล้วสร้างกระบวนการร่างกฎหมายแร่ใหม่ร่วมกับประชาชนในช่วงที่บ้านเมืองมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว

ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้รับ ‘ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ....’ ฉบับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี  เข้าสู่การพิจารณาใน สนช.  โดยแต่งตั้ง ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ....’ ขึ้นมาเพื่อพิจารณารายมาตราเสร็จเรียบร้อยแล้ว  บัดนี้กำลังนำร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ในวาระสองและสามเพื่อตราเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไปในวันพรุ่งนี้ พฤหัสฯที่ 8 ธันวาคม 2559 นั้น

ท่ามกลางกระแสข่าวถึงความไม่พอใจของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ว่า  ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขร่างฯไปจากเดิมเยอะมาก  จนสูญเสียเป้าหมายเดิมที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ต้องการ  โดยเฉพาะ หนึ่ง-บทบัญญัติเกี่ยวกับ ‘เขตสัมปทานแร่’ หรือ ‘ไมนิ่งโซน’ ที่ถูกแก้ไขเสียจนทำให้ไมนิ่งโซนไม่สมบูรณ์แบบ  เพราะไม่สามารถเฉือนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ  เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  เขตโบราณสถาน  โบราณวัตถุ  พื้นที่ที่มีกฎหมายห้ามการเข้าใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด  พื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ  และพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมออกมาเป็นเขตสัมปทานแร่ได้ สอง-บทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ที่ กพร. มีอำนาจเต็มเพียงหน่วยงานเดียว โดยไม่ต้องขออนุญาตใช้พื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายอื่น ก็ถูกแก้ไขเสียจนทำให้ กพร. ไม่สามารถมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ได้เพียงหน่วยงานเดียวอีกต่อไป

รวมทั้งบทเฉพาะกาลในร่างฯที่ กพร. จงใจเขียนซ่อนเอาไว้เพื่อต้องการคุ้มครองสัญญาสัมปทานผูกขาดหลายฉบับที่ทำขึ้นมาก่อนหน้านี้โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเป็นสัญญาที่ทำขึ้นภายใต้มติคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้กระทำสัญญาในรูปแบบ ‘สัมปทานผูกขาด’ ที่ไปจับจองพื้นที่ขนาดใหญ่หลายแสนไร่โดยไม่มีวันหมดอายุได้ ดังเช่น สัญญาให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เจ้าของเหมืองทองคำที่มีปัญหาผลกระทบและความขัดแย้งรุนแรงกับชาวบ้านในพื้นที่รอบเหมืองในเขตตำบลเขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เป็นต้น ก็ถูกแก้ไขในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯเสียจนอาจทำให้สัญญาฯดังกล่าวและสัญญาในทำนองเดียวกันนี้อีกหลายฉบับถูกยกเลิกเพิกถอนได้หากว่าร่างกฎหมายแร่ฉบับนี้ผ่านวาระสองและสามของ สนช. และตราเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป

นั่นจึงเป็นที่มาของข่าวที่ออกมาในช่วงสองสามวันนี้ว่ามีทั้งอดีตข้าราชการและข้าราชการที่มีบทบาทเกี่ยวกับสัมปทานแร่และนายทุนใหญ่ที่ทำธุรกิจเหมืองแร่กำลังวิ่งเต้นกับรัฐบาลและ สนช. บางส่วนให้ถอนร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯออกมาทบทวนใหม่ เพราะกลัวเสียผลประโยชน์จนไม่สามารถทำมาหากินเกี่ยวกับเหมืองแร่ได้ง่ายเหมือนเก่า

ต่อกระแสข่าวดังกล่าว หากการวิ่งเต้นสมประโยชน์จนบรรลุผล จะมีความเป็นไปได้สูงที่ในชั้นการพิจารณาของ สนช. วาระสองและสามในวันพฤหัสนี้ 8 ธันวาคม 2559 จะมีผู้เสนอให้นำ ‘ร่างฯฉบับ ครม. ที่มีเนื้อหาเดิม’ เข้ามาพิจารณาแทน ‘ร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ’

เพราะเป็นร่างฯที่ กพร. ยอมรับได้ มีเนื้อหาเป็นไปตามความต้องการของตนทุกประการ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคประชาชนยังเห็นว่าร่างกฎหมายแร่ทั้งสองฉบับ  ระหว่าง ‘ร่างฯฉบับ ครม. ที่มีเนื้อหาเดิม’ และ ‘ร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ’ ยังมีจุดอ่อนอีกมากจนทำให้เป็นร่างฯที่ไม่ดีพอต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ตัวจริง เสมือนกับแนวคิดเดียวกันที่ว่า ‘ผืนดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ’ ฉันใด ‘แร่ต้องเป็นของเจ้าของที่ดิน’ ฉันนั้น ซึ่งร่างฯทั้งสองฉบับยังไม่ยอมรับหลักการนี้ เพราะได้กำหนดหลักการให้ ‘แร่เป็นของรัฐ’ เพื่อที่รัฐจะมีสิทธิอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียวให้แก่ใครก็ได้ แม้ว่าแร่จะอยู่ใต้ที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ในครอบครองและการใช้ประโยชน์ของประชาชนที่ไม่ยินยอมให้ที่ดินนั้นถูกขุดเจาะจากการสำรวจและทำเหมืองแร่ก็ตาม

ร่างกฎหมายแร่ทั้งสองฉบับได้วางหลักการคุ้มครองสิทธิในที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ในความครอบครองและการใช้ประโยชน์ของประชาชนเพียงแค่ให้ไปโต้แย้งและพิสูจน์สิทธิในที่ดินครอบครองและการใช้ประโยชน์ของตนเองคืน หากว่าที่ดินในครอบครองและการใช้ประโยชน์ของประชาชนตกอยู่ในเขตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ที่รัฐให้แก่เอกชนไปแล้ว ซึ่งเป็นการผลักภาระ มัดมือชกและสร้างแรงบีบคั้นอย่างสาหัสสากรรจ์แก่ประชาชนที่ต้องต่อสู้ด้วยการถูกบังคับให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติของราชการที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายเพื่อขอคืนสิทธิในที่ดินที่อยู่ในความครอบครองและการใช้ประโยชน์ของประชาชน

ประกอบกับบทบัญญัติอีกหลายมาตราที่มองประโยชน์ของผู้ประกอบการเป็นหลัก อาทิเช่น มาตรา 13 ที่สามารถนำแหล่งแร่มาประกาศให้มีการประมูลเพื่อได้สิทธิในสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมต่อประเทศไทยที่พื้นที่ส่วนใหญ่มีชุมชนท้องถิ่นกระจายตัวกันอยู่ทั่วไปและมีประชากรหนาแน่น ไม่ใช่พื้นที่ว่างห่างไกลผู้คน

มาตรา 49 และ 57 ที่แบ่งการทำเหมืองออกเป็นสามประเภทโดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการแร่และการกระจายอำนาจในการจัดการแร่ให้ท้องถิ่น สิ่งสำคัญอยู่ที่การกำหนดให้การแบ่งประเภทการทำเหมืองประเภทที่ 1, 2 และ 3 เล็ก ซึ่งเป็นการทำเหมืองขนาดเล็ก กลางและใหญ่นั้นให้กำหนดเนื้อหารายละเอียดไปออกที่ประกาศกระทรวง ไม่ปรากฎอยู่บนตัวพระราชบัญญัติ ไม่มีใครรู้เห็นและไม่มีหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ออกมาบังคับใช้แล้วก็ยากที่จะทักท้วงแก้ไข เพราะพระราชบัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีภาคประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยประกาศกระทรวงดังกล่าวถึงแม้จะให้คำนึงถึงพื้นที่ ชนิดแร่ ลักษณะทางธรณีวิทยาของแหล่งแร่ วิธีการทำเหมืองและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากการทำเหมืองก็ตาม ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าจะออกประกาศกระทรวงในลักษณะที่สามารถซอยย่อยขนาดพื้นที่การทำเหมืองประเภทที่ 2 และ 3 ให้เป็นการทำเหมืองประเภทที่ 1 ซึ่งมีเขตเหมืองแร่ติดต่อกันหลายๆ แปลงได้ ซึ่งก็จะทำให้ขั้นตอนและกระบวนการอนุญาตประทานบัตรมีระยะเวลาที่สั้นลง รวมทั้งหน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็น้อยลงด้วย

การแปลงให้การทำเหมืองประเภทที่ 2 และ 3 ถูกซอยย่อยกลายเป็นการทำเหมืองประเภทที่ 1 เนื้อที่ไม่เกินหนึ่งร้อยไร่ต่อแปลง แต่หลายแปลงติดต่อกันได้ เพื่อทำให้ขั้นตอนและกระบวนการอนุญาตประทานบัตรมีระยะเวลาสั้นลง ไม่ยุ่งยาก และถูกยกเว้นให้ไม่ต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามรายงาน EIA หรือ EHIA แล้วแต่กรณีได้อีกด้วย

มาตรา 100 และ 105 ที่อนุญาตให้การแต่งแร่และประกอบโลหกรรมภายในเขตประทานบัตรตามลำดับไม่ต้องขอใบอนุญาตแยกต่างหาก  ซึ่งเป็นหลักการที่กำหนดให้ประทานบัตรทำเหมืองแร่เพียงใบเดียวคุ้มครองส่วนควบทุกอย่างทั้งๆ ที่่ส่วนควบเหล่านั้นเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดมลพิษเสียยิ่งกว่าการทำเหมืองแร่เสียอีก เพราะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บกักและทิ้งน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายที่มีสารประกอบและโลหะเป็นพิษที่ต้องระแวดระวังการไหลออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอก ต้องวางมาตรการกำกับดูแลและควบคุมอย่างใกล้ชิดให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยภายในบริเวณที่ต้องเก็บกักให้มิดชิด เพื่อป้องกันมิให้เล็ดลอดออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอกได้

มาตรา 132​ ที่บัญญัติให้ กพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐสามารถนำพื้นที่แหล่งแร่ใดก็ได้มายื่นคำขอประทานบัตรและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แทนเอกชนที่สามารถขอประมูลสัมปทานทำเหมืองแร่ในภายหลังจากที่พื้นที่แหล่งแร่ดังกล่าวของ กพร. ได้รับความเห็นชอบ EIA และอนุญาตประทานบัตรแล้วได้ นำมาซึ่งหลายคำถาม ไม่ว่าจะเป็นการตัดมาตรการถ่วงดุลออกไป ผลประโยชน์ทับซ้อนของหน่วยงานอนุมัติ/อนุญาตสัมปทาน การทำลายหลักการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าผู้มีอำนาจส่วนบนจะเล่นเกมส์และวิ่งเต้นกันอย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคประชาชนก็ยังเห็นว่าร่างกฎหมายแร่ทั้งสองฉบับยังไม่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนเท่าที่ควร เป็นเพียงการจัดสรรอำนาจในแวดวงราชการและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสัมปทานแร่เท่านั้น จึงมีข้อเสนอดังนี้

1. ไม่รับร่างกฎหมายแร่ทั้งสองฉบับ ไม่ว่าจะเป็น ‘ร่างฯฉบับ ครม. ที่มีเนื้อหาเดิม’ หรือ ‘ร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ’ ก็ตาม

2. ขอประณามการวิ่งเต้นของข้าราชการ และสนช. บางส่วนกับรัฐบาลทหาร คสช. บางคนที่ประสงค์จะนำ ‘ร่างฯฉบับ ครม. ที่มีเนื้อหาเดิม’ เข้ามาพิจารณาแทน ‘ร่างฯฉบับที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ’ ในการประชุมของ สนช. วาระสองและสามในวันพฤหัสฯที่ 8 ธันวาคมนี้

3. ขอให้รัฐบาลทหาร คสช. ถอนร่างกฎหมายแร่ฉบับใด ๆ ก็ตามออกจากการพิจารณาของ สนช. อย่างถาวร แล้วสร้างกระบวนการร่างกฎหมายแร่ใหม่ร่วมกับประชาชนในช่วงที่บ้านเมืองมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว

เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่

7 ธันวาคม 2559

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net