5 องค์กรสื่อ ร่วมเสนอความเห็นปรองดอง ขอรัฐทบทวนกฎหมายคุมสื่อฯ

เทพชัย หย่อง รวมตอบคำถามปรองดอง ป.ย.ป. ระบุที่ผ่านมา สื่อไม่ได้สร้างความขัดแย้ง แต่ถูกอำนาจทางการเมืองใช้สื่อเป็นเครื่องมือ ยันไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.สื่อฯ ฉบับ สปท. ตอบคำถามกรณี Voice จอดำระบุ การสั่งพักออกอากาศ สะท้อนสภาวะไม่ปกติของบ้านเมือง

เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2560 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เวลา 09.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง พร้อมคณะอนุกรรมการ ได้เชิญภาคประชาสังคมเข้าให้ข้อคิดเห็นเสนอแนวทางสร้างความปรองดอง 10 ประเด็นต่อเนื่อง โดยวันนี้ เป็นในส่วนขอองค์กรวิชาชีพสื่อ ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำโดย ปรเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมฯ และ มงคล บางประภา อุปนายกฯ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นำโดย ชวรงค์ ลิมป์ปัทมาปาณี ประธานสภาฯ และ ชาย ปถะคามินทร์ เลขาธิการฯ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย นำโดย เทพชัย หย่อง นายกสมาคมฯ พีระวัฒน์ โชติธรรมโม เลขาธิการฯ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย นำโดย วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ ประธานสภาฯ และโกศล สงเนียม เลขาธิการฯ และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ นำโดย วิชัย สอนเรือง กรรมการสมาคมฯ และในช่วงบ่ายเป็นองค์กรด้านสาธารณสุข ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
       
ต่อมาเวลา 12.30 น. ที่บริเวณหน้ากระทรวงกลาโหม เทพชัย หย่อง กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือ ทางสื่อมีความพร้อมที่จะมีบทบาทในการสะท้อนความเห็นจากส่วนต่างๆ ของสังคม เพื่อนำไปสู่การปรองดอง แต่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสื่อโดยตรง คือ การตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้สื่อไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการสร้างความแตกแยก แต่ทางองค์กรวิชาชีพสื่อเองได้ย้ำว่าที่ผ่านมา สื่อไม่ได้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกด้วยตัวสื่อเอง แต่อำนาจทางการเมืองใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องย้ำ ว่า มีกลุ่มคนที่มีอำนาจในเกือบทุกยุคทุกสมัยที่ใช้สื่อในการเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะฉะนั้น หากไม่ต้องการให้สื่อตกเป็นเครื่องมือต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง และองค์กรที่กำกับดูแลสื่อ เช่น กสทช.ต้องมีความจริงจังและความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎระเบียบที่มีอยู่ ในความเป็นจริงแล้วในสังคมประชาธิปไตยการมีความเห็นไม่ลงรอยกันคือเรื่องธรรมดา แต่ต้องไม่ใช่ความเห็นที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ซึ่งสื่อกระแสหลักคงไม่เห็นด้วยที่สื่อจะมีบทบาทในแง่ของการสร้างความแตกแยก และอีกประเด็นที่ให้ความเห็นตรงกันกับทุกองค์กรคือ เราไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน เพราะว่ากฎหมายฉบับนี้นำไปสู่กลไกที่เรียกว่าสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่จะถูกอำนาจการเมืองแทรกแซง และตรงนี้จะเกิดช่องว่างให้การเมืองมาแทรกแซง จนนำไปสู่การใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยกอีกครั้ง ซึ่งทางองค์กรสื่อได้ยืนยันชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย
       
เมื่อถามว่า มองสถานการณ์สื่อในการนำเสนอข่าวสารในยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง เทพชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า ในตอนนี้เราอยู่ในสภาวะบ้านเมืองไม่ปกติ จึงมีกฎกติกา การใช้อำนาจที่ไม่ปกติในการควบคุมกำกับสื่ออย่างที่เราเห็น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันเราไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพ ในยามปกติ แต่ขอยืนยันว่าสื่อต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบต่อไป เพราะว่าเราไม่สามารถปฏิเสธบทบาทในการเป็นสื่อ และเป็นปากเสียง แทนสังคมได้
       
“ผมมองว่า หากทุกฝ่ายมีความจริงใจ มีความตั้งใจ ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ แต่แน่นอนว่าต้องมีฝ่ายที่ต้องยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว ยอมที่จะถอยและยอมที่จะพูดในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ เพราะเป็นทางเดียว หากทุกคนได้ ก็ไม่มีใครที่จะเสียสละ ก็ไม่มีใครยอมทำในสิ่งที่ไปสู่การปรองดอง” เทพชัย กล่าว
       
เทพชัย กล่าวต่อว่า ในเรื่องปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีของชินคอร์ป นั้นอาจถูกหยิบมาเป็นประเด็นของบางกลุ่มที่อาจมองว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นการเลือกกระทำ ที่รัฐบาล และฝ่ายมีอำนาจต้องทำ คือ ทำให้เห็นว่าการปฏิบัติกับทุกลุ่ม ที่มีปัญหาทางกฎหมายต้องเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่มที่เห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
       
เมื่อถามว่า มองอย่างไรเกี่ยวกับการระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี 7 วัน เทพชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าไม่มีสื่อไหนที่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจมีความผิดพลาด และอาจถูกมองว่าเลือกข้าง ไม่เป็นกลาง ไม่รอบด้านเท่าที่ควร แต่มันมีกระบวนการที่ปกติในสังคมประชาธิปไตยใช้ คือ การตักเตือน การลงโทษ เฉพาะประเด็นที่ผิดกฎ ระเบียบ กติกา ซึ่ง กสทช. มีบทบาทแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าการสั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลา 7 วันติดกัน ส่วนตัวคิดว่า สังคมไทยยังไม่อยู่ในภาวะปกติ ยังมีอำนาจที่ใช้การปิดกั้น ในการแสดงความคิดเห็น ยิ่งอยู่ในยคที่เราถูกทำให้เชื่อว่าเราจะกลับไปสู่ความเป็นปกติของบ้านเมืองตามโรดแมปที่มีอยู่ จริงๆ แล้วบรรยากาศควรไปทางนั้นมากกว่า แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็มีคำถามว่า เราจะกลับไปสู่ความปกติของบ้านเมืองจริงๆ หรือไม่
       
“ผมคิดว่า สื่อในยุคนี้ควรกลับมาทำหน้าที่ของสื่อที่เป็นพื้นฐาน คือ การรายงานข่าวอย่างถูกต้อง เป็นธรรม และรอบด้าน และทำให้คนในสังคมรู้เท่าทัน ความเป็นไปในสังคมและที่สำคัญต้องตรวจสอบทุกภาคส่วน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติ ผมคิดว่าตรงนี้หากสื่อทำหน้าที่ได้อย่างดี สื่อกระแสหลักก็จะกลับมาเป็นที่ไว้ใจของสังคม และผมก็เชื่อว่าในช่วงเปลี่ยนผ่าน บทบาทของสื่อกระแสหลักที่น่าเชื่อถือ มีหลักการในการทำงาน จะมีบทบาทสำคัญมาก เพราะว่าทุกวันนี้เราเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวเท็จบ้าง ข่าวปล่อยบ้างในโลกของการสื่อสารสมัยใหม่ มันจำเป็นต้องมีสื่อกระแสหลักที่มีเสียงที่เป็นเหตุ เป็นผล มีที่มาที่ไป ให้คนในสังคมได้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เป็นข่าวมานั้น มีที่มาอย่างไร และมีใครบ้างที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ อย่างไร ทั้งนี้ เราต้องแยกแยะให้ได้ระหว่างสื่อสองสื่อนี้” เทพชัยกล่าว
       
ด้าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมาปาณี ประธานสภาสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า พวกเราพยายามที่จะชี้ให้อนุกรรมการเห็นถึงความแตกต่างและความสำคัญของสื่อกระแสหลักว่ายังมีความจำเป็น เพราะทุกวันนี้มีข่าวที่ยังเป็นข่าวหลอกในโซเซียลมีเดียเยอะ และทุกวันนี้คนที่ทำหน้าที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงของข่าวก็คือสื่อกระแสหลัก จึงพยายามที่จะบอกว่า ไม่ควรทำอะไรที่เป็นการจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อกระแสหลักที่มีหน้าที่นำเสนอความจริงแก่สังคม และยิ่งจะออกกฎหมายในการคุมสื่อกระแสหลัก ก็เป็นเรื่องที่อนุกรรมการควรทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำสอดคล้องกับสถานการณ์มากน้อยแค่ไหน
       
ขณะที่ มงคล บางประภา อุปนายกฯ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ กล่าวว่า ตัวแทนองค์กรสื่อทั้ง 5 องค์กร เห็นด้วยกันคือไม่ปรารถนาที่จะให้มีสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงย้อนกลับมาอีกครั้งในสังคม ดังนั้น อยากให้มีหลักประกันให้สังคมมั่นใจว่าสังคมจะไม่ย้อนกลับไปสู่จุดนั้นอีกครั้ง เพราะสื่อเองก็ปรารถนาให้สังคมกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง และสื่อกระแสหลักเองก็คงต้องไม่ไปแข่งกับสื่อโซเชียลในเรื่องความเร็ว เพราะเขานำเสนอข่าวได้ทุกวินาที แต่สื่อกระแสหลักต้องรักษาจุดยืนของความเป็นแบบอย่างและการทำหน้าที่สื่อในสังคม ไม่เช่นนั้นสังคมจะมองไม่เห็นความแตกต่างและการทำหน้าของนักสื่อสารมวลชน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท