30 องค์กรสื่อ ยื่นจดหมายถึง สปท. ค้านร่างกฎหมายคุมสื่อ

30 องค์กรสื่อ ยื่น จดหมายเปิดผนึก ถึง ประธาน สปท. คัดค้านและขอให้ยกเลิก ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน

ที่มาภาพ เว็บไซต์ สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 

1 พ.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่าวันนี้ (1 พ.ค.60) ปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พร้อมผู้แทน 30 องค์กรสื่อมวลชน ยื่นหนังสือถึงสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เพื่อเรียกร้องให้ สปท.ถอนวาระการพิจารณารายงานร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน ในวันนี้ (1 พ.ค.) แม้กรรมาธิการฯ จะยอมปรับเปลี่ยนจากการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นใบรับรองประกอบวิชาชีพก็ตาม เนื่องจากยังเป็นห่วงเรื่องเจตนารมณ์ของกฎหมายและคำนิยามของคำว่าสื่อมวลชนที่กว้างจนเกินไป ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในอนาคตได้ และยังมีเนื้อหาที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน มีความเป็นเผด็จการอำนาจนิยม และยังไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 จึงขอเรียกร้อง สปท.ให้ถอนรายงานดังกล่าว แล้วให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเริ่มกระบวนการยกร่างใหม่

ด้าน อลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท. ยืนยันว่า รายงานดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาในการปิดกั้น หรือแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน ซึ่งที่ผ่านมากรรมาธิการฯ ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และการออกกฎหมาย ยังจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีก รวมถึงจะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ พร้อมชี้แจงแนวทางการพิจารณาของ สปท.ในวันนี้ว่าสามารถเป็นไปได้ 3 แนวทาง คือ สปท.เห็นชอบกับรายงาน หรือไม่เห็นชอบ หรือมีผู้เสนอให้ถอนร่าง และรวมถึงการตีกลับไปให้กรรมาธิการฯ นำไปปรับปรุงก่อน

ขณะที่วันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา องค์กรด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา(HRDF) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม(CrCF) สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน(สนส.) ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.) และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.) ได้ออกแถลงการคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์ คัดค้านร่างกฎหมายควบคุมเสรีภาพสื่อมวลชน

ตามที่ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ..... ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างกว้างขวางว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวมิได้เป็นการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนแต่กลับเป็นการแทรกแซงและควบคุมการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน โดยในร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวระบุให้ “ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน” ต้องได้รับใบอนุญาตโดยคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ มาจากกลุ่มบุคคล ซึ่งมีตัวแทนภาครัฐเข้าร่วมด้วย ซึ่งคณะกรรมการมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตวิชาชีพสื่อมวลชนได้อันเถือได้ว่าเป็นการเปิดทางให้มีการแทรกแซงสื่อได้นั้น

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)และองค์กรข้างท้ายขอแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการจัดทำกฎหมายเพื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ดังต่อไปนี้

1. “เสรีภาพของประชาชน” หมายความเชื่อมโยงถึง “เสรีภาพของสื่อมวลชน”ด้วย ถือเป็นหลักการสำคัญของสิทธิเสรีภาพที่สำคัญประการหนึ่งในสังคมประชาธิปไตย ในแง่ที่ว่าหากจะมีการจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชนจำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ดังนั้นการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวล จักต้องคำนึงถึงหลักการเรื่องสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนด้วยอย่างเคร่งครัด

2. แนวคิดในการจัดทำกฎหมายเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนนั้นจักต้องอยู่บนพื้นฐานร่วมกันว่า สื่อมวลชนมีเสรีภาพควบคู่ไปกับ หรือถูกกำกับภายใต้ความรับผิดชอบที่สื่อมวลชนพึงมีต่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ซึ่งประชาชนหรือผู้บริโภคสื่อย่อมสามารถใช้วิจารณญาณในฐานะวิญญูชนที่จะวินิจฉัยได้ด้วยตนเอง อันเป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาเรียนรู้และสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมร่วมกันในสังคมนั้นๆเอง

3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีบทบัญญัติคุ้มครองเสรีภาพของสื่อมวลชนไว้ในการเสนอข่าวสาร หรือแสดงความเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเรื่องเสรีภาพในการรับ แสวงหาและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็น โดยต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบต่อการแสดงความคิดเห็น หรือการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมของสังคม ซึ่งสื่อมวลชนยังต้องได้รับการกำกับภายใต้กฎหมายหลายฉบับ ทั้งประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาท กฎหมายเกี่ยวกับวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม กฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณา กฎหมายเกี่ยวกับวัฒนธรรม กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา กฎหมายเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจาร กฎหมายว่าด้วยคอมพิวเตอร์ กฎหมายด้านการจดแจ้งการพิมพ์ ฯลฯ โดยกฎหมายแต่ละฉบับก็มีเจ้าพนักงานของรัฐกำกับดูแลและควบคุมให้สื่อมวลชนมีความรับผิดชอบต่อบุคคลและต่อสังคมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเฉพาะในการคุ้มครองและส่งเสริมจริยธรรมสื่อมวลชนอีก

ด้วยหลักการและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น สสส.และองค์กรท้ายแถลงการณ์นี้ จึงมีข้อเสนอและข้อเรียกร้อง ดังนี้

1. ให้ทบทวนร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ  ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ..... ในประเด็นเรื่อง การออกใบอนุญาตสื่อมวลชน และคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ให้ปลอดจากการมีหน่วยงานภาครัฐเป็นกรรมการ เพื่อให้การกำกับดูแลจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนกระทำโดยผู้แทนของสื่อมวลชนด้วยกันเอง

2. สนับสนุนให้มี “สภาวิชาชีพสื่อมวลชน” ที่เป็นการกำกับดูแลกันเองระหว่างองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน แขนงต่างๆ ให้มาจดแจ้งการเป็นองค์กรสื่อมวลในกลุ่ม หรือแขนงของตนเอง กำกับดูแลจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพภายใต้มาตรฐานเดียวกัน รวมถึงเป็นการจัดระเบียบองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน โดยกำหนดจำนวนองค์กรวิชาชีพขั้นต่ำไว้เพื่อมิให้มีการจดแจ้งองค์กรสื่อมวลชนแขนงต่างๆ มากจนเกินไป จนไม่สามารถกำกับดูแลกันเองได้

3. สภาวิชาชีพสื่อมวลชนควรมีลักษณะที่แตกต่างจากองค์กรวิชาชีพอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายปกครอง แต่รับการกระจายอำนาจเพียงบางส่วน เพื่อป้องกันการแทรกแซงจากอำนาจฝ่ายต่างๆ ทั้งกลุ่มผลประโยชน์ รัฐ และการเมือง โดยให้ใช้อำนาจศาลในการดำเนินการกำกับดูแลชี้ขาดในการตรวจสอบจริยธรรมขององค์กรวิชาชีพ

การกำกับดูแลด้วยกันเองขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ถือเป็นพัฒนาการสำคัญของสังคมประชาธิปไตยที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการให้เกิดขึ้น โดยที่รัฐเข้ามาดูแลกำกับน้อยที่สุด รัฐและสังคมต้องให้ความเชื่อมั่นว่าสื่อมวลชนมีศักยภาพ ในการกำกับดูแลกันเอง เพื่อผดุงไว้ซึ่งการเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนและความรับผิดชอบต่อสาธารณะต่อไป

ด้วยความเชื่อมั่นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

วันที่ 30 เมษายน 2560

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา(HRDF)

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม(CrCF)

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน(สนส.)

ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.)

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)

 

ที่มา เว็บไซต์ สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสำนักข่าวไทย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท