Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis



 

พลันที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. โยนคำถาม 4 ข้อที่เน้นในเรื่องของ ธรรมาภิบาลให้ประชาชนไปขบคิดและให้แสดงความเห็นผ่านทางศูนย์ดำรงธรรม โดยถามว่า 1) ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2) หากไม่ได้จะทำอย่างไร ฯลฯ ซึ่งได้มีการแสดงความคิดเห็นทั้งโต้แย้งและสนับสนุน แต่มีประเด็นสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจทั้งผู้ถามคือ พล.อ.ประยุทธ์และประชาชนที่เป็นผู้ตอบก็คือประเด็นที่ว่าธรรมาภิบาลคืออะไรเสียก่อน

ธรรมาภิบาล หรือในชื่ออื่น “การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี” “หลักธรรมรัฐ”ฯลฯ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Good Governance  นั้น ไม่ใช่แนวความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคม แต่เป็นการสั่งสมความรู้ที่เป็นวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมวลมนุษย์มาเป็นพันๆปี ซึ่งเป็นหลักการเพื่อการอยู่ร่วมกันในบ้านเมืองและสังคมอย่างมีความสงบสุข สามารถประสานประโยชน์และคลี่คลายปัญหาข้อขัดแย้งโดย    สันติวิธีและพัฒนาสังคมให้มีความยั่งยืน


ความหมาย

ธรรมาภิบาล คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการ การควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ฯลฯ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในภาคต่างๆ อาทิ ภาครัฐ ธุรกิจ(corporate governance หรือ บรรษัทภิบาล) ประชาสังคม ปัจเจกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ฯลฯ

ธรรมาภิบาลเป็นหลักการที่นำมาใช้บริหารงานอย่างแพร่หลายเพราะธรรมาภิบาลช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร ทำให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจนั้นขยายตัว นอกจากนี้แล้วยังทำให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรนั้น ๆ อันจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรที่โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทำธุรกิจ, รัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและประชาชน, ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เป็นต้น

ธรรมาภิบาลเป็นทั้งหลักการ กระบวนการและเป็นเป้าหมายไปในตัว การมีธรรมาภิบาลจะนำมาสู่การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ในที่สุดและการมีประชาธิปไตยก็นำมาสู่การมีผลทางสังคมคือการมีการพัฒนาประเทศไปในทางที่สร้างความสงบสุขอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตลอดจนนำมาสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้โดยสันติวิธี


องค์ประกอบ

1) UNESCAP ได้กำหนดว่าหลักธรรมาภิบาล ประกอบด้วย 8 หลักการ คือ การมีส่วนร่วม (participatory) ,นิติธรรม (rule of law),ความโปร่งใส(transparency),ความรับผิดชอบ (responsiveness),ความสอดคล้อง(consensus oriented),ความเสมอภาค (equity and inclusiveness),การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (effectiveness and efficiency) และการมีเหตุผลอธิบายได้ (accountability)      

2) สำนักงาน ก.พ. ได้กำหนดไว้โดยได้เสนอเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าหลักธรรมาภิบาลนั้นประกอบด้วย 6 หลักการ คือ หลักคุณธรรม(ethics),หลักนิติธรรม(rule of law),หลักความโปร่งใส(transparency),หลักความมีส่วนร่วม(participation),หลักความสำนึกรับผิดชอบ(accountability),       หลักความคุ้มค่า(value for money)

ซึ่งต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ออกมา

3) สำนักงาน ก.พ.ร.ได้กำหนดหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี  (GG Framework) ซึ่ง ครม.เห็นชอบเมื่อ 24 เม.ย.55 ประกอบด้วย 4 หลักการสำคัญ และ 10 หลักการย่อย ดังนี้

3.1 การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ประกอบด้วยหลักประสิทธิภาพ  (Efficiency),หลักประสิทธิผล (Effective) และหลักการตอบสนอง (Responsive)

3.2 ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ประกอบ ด้วยหลักภาระรับผิดชอบ/สามารถตรวจสอบได้ (Accountability),หลักความเปิดเผย/โปร่งใส  (Transparency), หลักนิติธรรม (Rule of Law) และหลักความเสมอภาค (Equity)

3.3 ประชารัฐ (Participatory State) ประกอบด้วยหลักการกระจายอำนาจ (Decentralization) และหลักการมีส่วนร่วม/การมุ่งเน้นฉันทามติ (Participation/Consensus Oriented)

3.4 ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) ประกอบด้วยหลักคุณธรรม/จริยธรรม (Morality/Ethics)

จะเห็นได้ว่าหลักของUNESCAP กำหนดนั้นไม่ได้มีเรื่องของหลักคุณธรรมหรือศีลธรรมจรรยาไว้เป็นการเฉพาะตามที่ไทยเราโดยสำนักงาน ก.พ.และสำนักงาน ก.พ.ร.กำหนดแต่อย่างใดเพราะหลักที่ใช้ในการบริหารงานตามหลักที่เป็นสากลนั้น มีความหมายที่กว้างขวางกว่าคุณธรรมหรือศีลธรรมจรรยาโดยหมายถึงความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวงที่วิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ

แต่จะเป็นหลักการใดก็ตาม หลักการทั้งหลายล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะรักษา “ความสมดุล” ในมิติต่างๆไว้ เช่น การรักษาสมดุลระหว่างตนเองกับผู้อื่น คือไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือตัวเองจนเดือดร้อน,การที่มีความโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมตรวจสอบก็เพื่อมุ่งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เห็นถึงความสมดุลดังกล่าวว่าอยู่ในวิสัยที่ยอมรับได้,ส่วนหลักความรับผิดชอบก็ต้องสมดุลกับเสรีภาพที่เป็นสิ่งที่สำคัญของทุกคน และหลักความคุ้มค่าก็ต้องสมดุลกับหลักอื่นๆ เช่น บางครั้งองค์การอาจมุ่งความคุ้มค่าจนละเลยเรื่องความเป็นธรรมหรือโปร่งใสหรือบางครั้งที่หน่วยงานโปร่งใสมากจนคู่แข่งขันล่วงรู้ความลับที่สำคัญในการประกอบกิจการ ฉะนั้น ความสมดุลหรือความเป็นธรรมจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของธรรมาภิบาล

จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าหากทั้งผู้ถามหรือผู้ตอบไม่เข้าใจในความหมายและหลักการของ  ธรรมาภิบาลที่แท้จริงแล้วก็ย่อมเป็นไปได้ที่จะเกิดการ “ตอบไม่ตรงคำถาม”หรือ “ถามไม่ตรงคำตอบ” ขึ้น และในทำนองกลับกันหากเข้าใจความหมายและหลักการของธรรมาภิบาลที่แท้จริงแล้วก็ย่อมเกิดคำถามหรือคำตอบที่ถูกต้อง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

แน่นอนว่านอกจากจะเป็นคำถามหรือคำตอบถึงรัฐบาลในอนาคตที่จะมาจากการเลือกตั้งแล้ว ก็ย่อมเป็นคำถามหรือคำตอบถึงรัฐบาลในปัจจุบันด้วยความเป็นธรรมหรือสมดุลว่า 1) ท่านคิดว่าการรัฐประหารครั้งนี้ เราได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2) หากไม่ได้จะทำอย่างไร ฯลฯ ได้เช่นกัน

 

หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 7 มิ.ย.60

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net