วิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมือง การขีดเส้นอำนาจใหม่ ในภาวะไร้อำนาจนำ เกษียร เตชะพีระ

‘เกษียร’ วิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมืองไทย รัฐพันลึกหรือรัฐราชการประจำทำตัวเป็นรัฐซ้อนรัฐ เป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะสมัยใหม่ที่ไม่เสร็จ ครึ่งๆ กลางๆ แต่อยู่ได้ภายใต้ฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ แต่ช่วงนี้คือการขีดเส้นอำนาจใหม่ของพลังฝ่ายต่างๆ

ภายในงานเสวนา ‘Direk’s Talk ทิศทางการเมืองโลก ทิศทางการเมืองไทย และนโยบายสาธารณะ’ ที่จัดขึ้นที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยศูนย์วิจัยดิเรก ชัยนาม เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560

ในวงพูดคุยวงสุดท้ายของงาน เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขึ้นบรรยายในหัวข้อ ‘ความขัดแย้งทางชนชั้นกับการเมืองมวลชนรอยัลลิสต์: ความย้อนแย้งของกระบวนการสร้างประชาธิปไตยกับพระราชอำนาจนำในสังคมไทย’ เขากล่าวว่า

“ความขัดแย้งทางชนชั้นกับการเมืองมวลชนรอยัลลิสต์: ความย้อนแย้งของกระบวนการสร้างประชาธิปไตยกับพระราชอำนาจนำในสังคมไทย ตั้งใจมองความขัดแย้งในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยวางลงไปในภูมิหลังของประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยสมัยใหม่ว่าหมายถึงอะไร

“นำข้อค้นพบหรือข้อคิดที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้มามองดูสถานการณ์ปัจจุบัน เผอิญฟังอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ทิ้งประเด็นที่น่าคิดไว้ หนึ่งคือเรื่องรัฐพันลึกหรือรัฐเร้นลึก หรือ Deep State สองคือประโยคสั้นๆ ที่พูดปิดท้ายปาฐกถาที่ว่า การที่มีนักการเมืองนอกระบบเลือกตั้งมากขึ้น นั่นหมายถึง State Elite หรือนักการเมืองที่เป็นข้าราชประจำแต่ออกมาเล่นการเมืองในภาวะที่ไม่มีการเลือกตั้ง น่าสนใจว่า State Elite เหล่านี้การเมืองเข้าไปยุ่งกับเขา เพราะเขามาเล่นการเมือง แล้วมันจะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างไร

“ผมอยากเลือก 2 เรื่องนี้และพูดต่อ ผมอยากทำในสิ่งที่อาจารย์เสกสรรค์เปรยขึ้น ท่านบอกว่าสิ่งที่เราควรทำคือการวิเคราะห์สถานการณ์รูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ผมคิดว่าทำแบบนี้อาจจะเป็นประโยชน์ น่าสนใจ และมีการเชื่อมร้อยกับสิ่งที่อาจารย์เสกสรรค์ปาฐกถามากกว่า ดังนั้น ผมจึงอยากต่อยอดจากงานวิจัยโดยพูดถึงภูมิทัศน์ใหม่ทางการเมือง มี 4 ประเด็นย่อย

ตุ๊กตาแม่ลูกดกรัสเซีย Matryoshka Dolls

“ประเด็นที่ 1 คือตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย Matryoshka Dolls ที่ถอดออกเป็นชั้นๆ ในแวดวงรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ไทย การค้นพบทางวิชาการแห่งปี 2559 น่าจะได้แก่แนวคิดวิเคราะห์เรื่องรัฐพันลึกหรือ Deep State ของ ดร. Eugénie Mérieau ในบทความเรื่อง Thailand’s Deep State, Royal Power and the Constitutional Court (1997–2015) บทความนี้ถูกกล่าวขวัญถึงมาก ถูกวิเคราะห์ วิจารณ์ คิดต่อยอดจากนักวิชาการไทยหลายคน อาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ รวมทั้งผมด้วย

“แนวคิดรัฐพันลึกเสนอว่า รัฐสมัยใหม่บางรัฐอย่างตุรกี อเมริกา หรือประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลจากการเลือกตั้งทางการ ยังมีองค์กรรัฐราชการประจำต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ข่าวกรอง ตุลาการบางหน่วย ถ้าคิดในกรณีไทยก็คงรวมทั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญบางแห่ง หรือแม้แต่ผู้บริหารบางมหาวิทยาลัย ที่เป็นรัฐเร้นลึก ซ้อนทับอยู่ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ หรือรัฐในรัฐ

“รัฐพันลึกที่ว่านี้มีตรรกะและผลประโยชน์ของตัวเอง สามารถดำเนินการอิสระจากรัฐบาลเลือกตั้งและอาจแข็งขืนหรือกระทั่งโค่นอำนาจรัฐบาลเลือกตั้งได้ ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอน แต่ไม่ทันข้ามปี สภาพการณ์ความเป็นจริงของการเมืองไทยก็เปลี่ยนไปแล้ว

“เมื่อคิดถึงข่าวสารบ้านเมืองอันแปลกพิลึกพิศดารชวนพิศวงระยะหลังมา มันมีหลายข่าวแปลกๆ เยอะ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อะไรที่เคยอยู่ก็หายไป อะไรที่ไม่น่าจะแก้ได้ก็แก้ได้ อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้กล่าวทักไว้ระยะหลังว่า อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้มาเห็นและอะไรที่เคยเห็นก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว ผมคิดว่ามันสะท้อนแนวคิดรัฐพันลึกหรือรัฐซ้อนรัฐ (a state within the state) อาจจะไม่พอเพียงเสียแล้วที่จะทำความเข้าใจสภาพการเมืองไทยที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ไปไกลในปี 2560

“ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังประสบพบเห็น เหมือนตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย กล่าวคือมันดูเสมือนหนึ่ง a state within the state within the state within the state within the state เป็นชั้นๆๆ หลายต่อหลายชั้นซ้อนทับกัน คำถามคือสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยังไง

กระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือภาวะสมัยใหม่แบบไทยๆ

“ประเด็นที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือภาวะสมัยใหม่แบบไทยๆ ผมคิดว่าต้องย้อนไปจึงจะเห็นว่ามายังไง สิ่งที่เรียกว่ากระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือภาวะสมัยใหม่อันเป็นกระบวนการสืบเนื่องจากปรัชญายุครู้แจ้งในยุโรป อเมริกา คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 แล้วแผ่กระจายไปทั่วโลกถึงสยาม ผ่านระบอบอาณานิคมในคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 ประกอบด้วยการปฏิวัติใหญ่ 3 ด้าน หนึ่ง-การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะกระแสเหตุผลนิยม ประสบการณ์นิยม วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คติโลกวิสัย เข้ามาแทนที่ความเชื่อทางศาสนาและความเชื่อทางเทวสิทธิ์ของผู้ปกครองหรือพระเจ้าแผ่นดิน สอง-การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในด้านเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะระบบตลาด เศรษฐกิจทุนนิยม การแบ่งงานกันทำ การผลิตแบบอุตสาหกรรม เป็นต้น และสาม-การปฏิวัติกระฎุมพีในด้านการเมือง โดยเฉพาะระบอบรัฐธรรมนูญ เสรีนิยม ประชาธิปไตย เป็นต้น

“ในประสบการณ์ประเทศต่างๆ ของโลก กระบวนการปฏิวัติ 3 ด้านเพื่อไปสู่ภาวะสมัยใหม่ดังกล่าว มีลักษณะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน รุนแรง นองเลือด และทิ้งบาดแผลทางความคิดจิตใจไว้ในสังคมมาก แต่ในกรณีประสบการณ์ของสยามหรือไทยค่อนข้างต่างออกไป กล่าวคือมีลักษณะไปครึ่งทาง กึ่งๆ กลางๆ มีการประนีประนอมรอมชอมกันมาก หรือจะมองในทางกลับกันก็ได้ว่า กระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือเปลี่ยนไปสู่ภาวะสมัยใหม่ของไทยนั้นไม่เสร็จสิ้น ค้างเติ่ง เปลี่ยนผ่านเท่าไหร่ก็ไม่ถึงจุดหมาย ไม่สำเร็จสมบูรณ์เสียที

“ศาสตราจารย์เบนเนดิก แอนเดอร์สัน รวมทั้งนักวิชาการไทยแบบทวนกระแสหลายคน เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ไมเคิล ไรท์ ไมเคิล เฮิร์ทเฟล ธงชัย วินิจจะกูล ไชยันต์ รัชชกูล กุลลดา เกษบุญชู มี้ด คนเหล่านี้เสนอไว้คล้ายๆ กันว่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียอาคเนย์แล้ว ถึงแม้สยามไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกเต็มตัว แต่ก็มีสภาพอาณานิคมทางอ้อมหรืออาณานิคมอำพรางที่ผนวกเข้ากับระบบทุนนิยมของอาณานิคมตะวันตกทั่วโลกในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการทูต การเมือง ภายใต้อำนาจอำนวยการของเจ้านาย ขุนนางท้องถิ่น ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช

“สยามจึงมีลักษณะเป็นอัตตานานิคมของคนไทยด้วยกันเอง และฉะนั้นจึงไม่มีขบวนการชาตินิยมของประชาชนเพื่อกู้ชาติจากต่างชาติ มีแต่กบฏลี้ลับ ครึ่งๆ กลางๆ ของคณะราษฎร 2475 ซึ่งสมาชิกล้วนแต่เป็นชนชั้นนำ ตัวแทนระบบราชการของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช และฉะนั้นสยามหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงยังไม่ได้เป็นรัฐชาติสมบูรณ์เต็มตัวเสียที เป็นแค่รัฐราชการรวมศูนย์ที่มีปัญหาความชอบธรรมเรื้อรังอยู่ภายใต้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมบ้าง เสนาชาตินิยมบ้าง สลับกันไป

“ถ้าพูดในภาษาของอาจารย์นิธิที่กล่าวไว้ในงานเสวนาครั้งหนึ่ง สยามกลายเป็นรัฐที่ไม่มีชาติที่แท้จริงในความหมายชุมชนในจิตนากรรมของพลเมืองที่เสมอภาคและเป็นภราดรภาพ และที่กุมอำนาจอธิปไตยร่วมกันไว้ได้ หากแต่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่เป็นชุมชนในจินตนากรรมของคนไทยและคนไม่ไทยที่ไม่เท่าเทียม เพราะฉะนั้นจึงเกิดกรณีเหยื่อของรัฐที่ไม่มีชาติให้พบเห็นอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นทนายสมชาย นีละไพจิตร บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ชัยภูมิ ป่าแส

ฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

“ประเด็นที่ 3 ฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ สังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผ่านการเดินทางแสวงหา สลับพลิกผัน สับเปลี่ยนไปมาระหว่างแรงผลักดัน ต่อสู้ ขัดแย้ง ของโครงการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือเปลี่ยนไปสู่ภาวะสมัยใหม่ในแนวทางต่างๆ เช่น โครงการเสรีประชาธิปไตย โครงการสังคมนิยมประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์ โครงการชาตินิยมแบบอำนาจนิยมทหารของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โครงการเสรีนิยมรอยัลลิสต์ของ ม.ร.ว.เสนีย์และคึกฤทธิป์ ปราโมท โครงการเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และโครงการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยของขบวนการคอมมิวนิสต์ เป็นต้น เหล่านี้คือทางเลือกโครงการต่างๆ ที่มุ่งสู่ความทันสมัยในความเชื่อต่างๆ

“ขณะเดียวกัน กลุ่มอำนาจและสถาบันต่างๆ ซึ่งเสมือนตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย a state within the state within the state within the state within the state ต่างก็อาศัยช่วงที่เส้นอำนาจเดิมคลอนแคลน คลี่คลาย ฐานรองรับแนวทางการปฏิบัติตามประเพณีเดิมขยับขยาย เปลี่ยนแปลง พากันหาทางพยายามปรับเส้นอำนาจและเขตอำนาจกันใหม่ โดยผลักดันเส้นอำนาจใหม่ของตนออกไปให้กว้างไกลที่สุด ให้เขตอำนาจของตนแผ่ขยายออกไปให้มากที่สุด กินพื้นที่อำนาจเก่าออกไปให้ใหญ่ที่สุด ด้วยความหวังว่าเส้นอำนาจไกลที่สุดของตน ซึ่งอยากให้อยู่ตรงนี้นั้น ฝ่ายอื่นจะยอมรับโดยดุษณี ได้ข้อยุติกันตรงนี้ ทุกฝ่ายคิดแบบนี้ หวังแบบนี้ และทำแบบนี้"

“กระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สังคมไทยจึงบรรลุฉันทามติของการประนีประนอม รอมชอม ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือเปลี่ยนไปสู่ภาวะสมัยใหม่กับฐานการเมืองวัฒนธรรมไทยแบบอนุรักษ์นิยมที่ลงตัวในระดับหนึ่ง ระหว่างช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาก ซึ่งพอจะสรุปสาระสังเขปในด้านต่างๆ ของฉันทามติดังกล่าวได้ดังนี้

“ในแง่เศรษฐกิจ เอาเศรษฐกิจทุนนิยมที่เติบโตอย่างไม่สมดุล เมืองโต ชนบทลีบ อุตสาหกรรม บริการโต เกษตรกรรมลีบ เศรษฐกิจทุนนิยมที่เติบโตอย่างไม่สมดุล โดยถูกทานไว้ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

“ในแง่การเมือง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีอุดมการณ์ราชาชาตินิยม มีชาตินิยมบวกราชานิยม หรืออุดมการณ์ชาติพันธุ์ไทยภายใต้พระราชอำนาจนำ

“ในแง่ศาสนา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก นี่เป็นทางเลือกที่ไม่ใช่ Secularism เต็มที่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่รัฐที่เป็นพุทธเต็มตัว แต่ให้องค์ประมุขเป็นพุทธมามกะและเป็นอัครศาสนูปถัมภก

“อาจกล่าวได้ว่าฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศหรือ The Bhumibol Consensus เป็นแบบวิถีการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัยอย่างไทยๆ ผ่านการประนีประนอมต่อรองที่ไม่หักรานจนเหี้ยน ไม่ใหม่หมด คนข้างล่างได้บ้าง แม้จะได้ไม่มากเท่าคนข้างบน คนชั้นกลางได้มากกว่า และเติบใหญ่ขยายตัวออกไป ส่วนคนข้างบนได้มากที่สุด มันช่วยให้หลีกเลี่ยงการแตกหักกวาดล้างรุนแรงของกระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่มาได้ และมีฐานรองรับสนับสนุนจากชนชั้นต่างๆ ตามสมควร ทั้งคนชั้นบน คนชั้นกลาง และคนชั้นล่าง

“ขณะเดียวกันก็มีเส้นอำนาจและการแบ่งเขตอำนาจเชิงปฏิบัติหรือเสมือนจริงที่ใช้กำกับ เส้นและเขตที่ว่าอาจไม่ต้องตรงกับเส้นแบ่งเขตอำนาจตามกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเสียเลยทีเดียว แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า อำนาจของฝ่ายหนึ่งหยุดตรงนี้ อำนาจของอีกฝ่ายเริ่มตรงนั้น ไม่ก้าวก่ายกัน ยอมรับ เคารพกัน โดยมีสถาบันกษัตริย์เป็นประหนึ่งอนุญาโตตุลาการสุดท้ายในยามเกิดความขัดแย้ง

“นอกจากนี้ ภายใต้ฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศดังกล่าว โครงการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่ ภาวะสมัยใหม่ทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางเสรีประชาธิปไตย สังคมนิยม ชุมชนนิยม ทหารนิยม สมบูรณาญาสิทธิ ฟาสซิตส์ คอมมิวนิสต์ ต่างถูกแช่แข็ง กดปราม ให้หยุดยั้ง ชะงักไว้ชั่วคราวด้วยบารมีแห่งพระราชอำนาจนำ จวบจนการปรากฏขึ้นของโครงการทางเลือกเพื่อเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือเปลี่ยนสู่ภาวะสมัยใหม่ในแนวทางประชานิยม วัตถุนิยม บวกประชาธิปไตยอำนาจนิยมโดยผ่านการเลือกตั้งของรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แห่งพรรคไทยรักไทย ปี 2544 เป็นต้นมา ตั้งแต่ตุลาคม 2516 ถึง 2544 ช่วงนี้คือช่วงของ The Bhumibol Consensus

การลากเส้นแบ่งเขตอำนาจกันใหม่และการเมือง วัฒนธรรม ของการหวนหาอดีต

“ประเด็นที่ 4 การลากเส้นแบ่งเขตอำนาจกันใหม่และการเมือง วัฒนธรรม ของการหวนหาอดีต ปัจจุบัน การที่เกิดสภาพอะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น และอะไรที่เคยเห็นก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว เช่นที่อาจารย์ชาญวิทย์เอ่ยทักนั้น ก็เพราะผู้สนับสนุนโครงการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่หรือเปลี่ยนสู่สภาวะสมัยใหม่ อันเป็นทางเลือกในแนวทางต่างๆ ได้ฟื้นตัว โผล่ออกมา แย่งชิงพื้นที่ ปะทะกัน เพื่อผลักดันแนวทางการทำให้เป็นสมัยใหม่ของตัวเองในสถานการณ์อันเปราะบางที่ไม่มีอำนาจนำทางการเมืองอันเป็นที่ยอมรับในแง่ความชอบธรรม

“ไม่มีกรอบกฎเกณฑ์กติกาปกติของการดำเนินและแก้ไขยุติความขัดแย้ง มีแต่กระบวนการยุติธรรมที่ถูกตั้งคำถามมากขึ้น และอำนาจบังคับด้วยกำลังที่ไม่อาจแก้ไขข้อขัดแย้งให้จบได้ โดยฝ่ายต่างๆ ที่เป็นเจ้าของโครงการเปลี่ยนให้เป็นสมัยใหม่แนวทางต่างๆ ก็พยายามหวนหาช่วงอดีตหรือบ้านเก่าที่สอดรับกับอุดมคติของกลุ่มตนมากที่สุด บ้างก็หวนไปหาสมัยรัชกาลที่ 5 บ้างก็หวนไปหาสมัยรัชกาลที่ 7 บ้างก็หวนไปหายุคปฏิวัติและมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดเป็นกลุ่มอาการวัฒนธรรมของการหวนหาอดีตโดยทั่วไป

“ประเด็นก็คือเราเจอคนแบบนี้เยอะมาก มันเหมือนอยู่ดีๆ คนลุกขึ้นมา Nostalgia กันใหญ่ หวนหาอดีตกันเยอะ เป็นเพราะอะไร ผมคิดว่าประเด็นไม่ใช่อดีตโดยตัวมันเอง ประเด็นคือกลุ่มฝ่ายต่างๆ ที่มีโครงการการทำให้เป็นสมัยใหม่ของตัวเอง ไปเลือกหยิบอดีตที่คิดว่าโครงการของตนดีที่สุด เหมาะที่สุด เด่นชัดที่สุด แล้วหวนอันนั้น

“ขณะเดียวกัน กลุ่มอำนาจและสถาบันต่างๆ ซึ่งเสมือนตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย a state within the state within the state within the state within the state ต่างก็อาศัยช่วงที่เส้นอำนาจเดิมคลอนแคลน คลี่คลาย ฐานรองรับแนวทางการปฏิบัติตามประเพณีเดิมขยับขยาย เปลี่ยนแปลง พากันหาทางพยายามปรับเส้นอำนาจและเขตอำนาจกันใหม่ โดยผลักดันเส้นอำนาจใหม่ของตนออกไปให้กว้างไกลที่สุด ให้เขตอำนาจของตนแผ่ขยายออกไปให้มากที่สุด กินพื้นที่อำนาจเก่าออกไปให้ใหญ่ที่สุด ด้วยความหวังว่าเส้นอำนาจไกลที่สุดของตน ซึ่งอยากให้อยู่ตรงนี้นั้น ฝ่ายอื่นจะยอมรับโดยดุษณี ได้ข้อยุติกันตรงนี้ ทุกฝ่ายคิดแบบนี้ หวังแบบนี้ และทำแบบนี้

“อย่างเช่นที่ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และสถาบันอำนาจในเครือข่าย เร่งผลักดันกฎหมายใหม่ๆ สารพัดออกมา แผ่ขยายอำนาจของฝ่ายความมั่นคงในหน่วยราชการไปสุดเอื้อม ก่อนที่จะจัดเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่

“ข้อความเสี่ยงที่ชวนวิตกคือ เส้นเขตอำนาจต่างๆ ที่ต่างกลุ่มต่างลากขึ้นมาอาจพาดเกยกันได้ เบียดเสียดกันได้ กระทั่ง ปะทะชนกันได้ แล้วจะหาข้อยุติอย่างไร จะยืดเยื้อไปนานเท่าไหร่ จึงจะบรรลุฉันทามติใหม่ที่ค่อนข้างลงตัวและเป็นที่ยอมรับของกลุ่มพลังใหม่ต่างๆ

“อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นและอะไรที่เคยเห็นก็จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว ในแง่หนึ่งจึงเป็นการแสดงออกของภูมิทัศน์ใหม่ทางการเมืองดังกล่าวมานี้เอง”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท