Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

ข้อถกเถียงที่สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบันประเด็นหนึ่งก็คือ “การเลือกตั้ง”ซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกันออกไปเป็น 2 ขั้วใหญ่ๆ คือ แนวคิดแรกเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญจึงจำเป็นที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีการเลือกตั้งให้ได้เพื่อให้เห็นว่าบ้านเมืองนั้นเป็นประชาธิปไตย แต่แนวคิดที่สองเห็นว่าระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมาทำให้ได้กลุ่มการเมืองที่เข้ามาทุจริตคอร์รัปชันหรือเผด็จการรัฐสภาจึงจำเป็นต้องควบคุมการเจริญเติบโตของพรรคการเมืองหรือนักการเมืองให้มากที่สุด โดยเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งจำเป็นสูงสุด จะมีเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งทั้งสองแนวคิดนั้นผมเห็นว่าต่างก็ผิดและถูกทั้งคู่ ซึ่งจะสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง


องค์ประกอบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

1.การเลือกตั้ง (election) แน่นอนว่าในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน(representative democracy)การเลือกตั้งย่อมเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นกระบวนการคัดสรรตัวบุคคลเพื่อไปทำหน้าที่แทนประชาชนในสถาบันนิติบัญญัติและบริหารรวมถึงตุลาการด้วยในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องประกอบไปด้วยหลักการดังต่อไปนี้

1.1 เป็นการทั่วไป (in general)

บุคคลที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องเป็นบุคคลที่อายุเข้าเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดด้วยเหตุผลทาง วุฒิภาวะ เช่น 16,18 หรือ 20 ปี เป็นต้น โดยต้องไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นคนชนชั้นใด ไพร่หรือผู้ดี ไม่ว่าจะจบการศึกษาในระดับใด เพศใด หรือมีฐานะทางการเงินหรือไม่

1.2 เป็นอิสระ (free voting)

ในการเลือกตั้งนั้นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะเลือกตัวแทนของตนโดยไม่ได้ถูกบังคับ  ขู่เข็ญ กดดัน ชักจูงหรือได้รับอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น

1.3 มีระยะเวลา (periodic election)

การเลือกตั้งจะต้องมีการกำหนดว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะกำหนดระยะเวลาไว้เท่าใด โดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศเป็นการแน่นอน เช่น ส.ส. 4 ปี(อเมริกา 2 ปี,อังกฤษ 5 ปี) ส.ว. 6 ปี เป็นต้น หรือเลือกตั้งเมื่อมีการยุบสภาในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา(parliamentary system)(ในระบบประธานาธิบดี(presidential system)ไม่มีการยุบสภาฯ)

1.4 การลงคะแนนลับ (secret voting)

เพื่อให้ผู้ที่เลือกตั้งสามารถเลือกบุคคลที่ต้องการเข้าไปเป็นตัวแทนของตนได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ต้องเกรงใจใครหรือไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของใคร ในการเลือกตั้งทุกครั้งจึงกำหนดให้แต่ละคนสามารถเข้าไปในคูหาเลือกตั้งได้เพียงครั้งละ 1 คน ยกเว้นบางประเทศที่กฎหมายอนุญาตไว้เป็นข้อยกเว้นเช่น คนพิการหรือคนแก่ เป็นต้น และไม่จำเป็นจะต้องบอกให้คนอื่นทราบว่าตัวเองเลือกใคร หลักการลงคะแนนลับนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะแม้แต่ศาลเองก็ไม่สามารถจะสั่งให้เราให้การว่าในการเลือกตั้งนั้นเราลงคะแนนให้แก่ผู้ใด

1.5 หนึ่งคนหนึ่งเสียง (one man one vote)

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนมีสิทธิในการออกเสียงได้เพียง 1 เสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะมีฐานะอะไร หรือมีบทบาทสำคัญทางการเมืองอย่างไร ก็มีสิทธิได้เพียง 1 เสียงเท่านั้น

1.6 บริสุทธิ์ยุติธรรม (fair election)

หลักการนี้อาจถือได้ว่าเป็นหลักที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะในหลัก 5 ข้อข้างต้นอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปในบริบทของแต่ละประเทศ แต่ถึงแม้ว่าจะมีครบทั้ง 5 หลักข้างต้นแล้วหากขาดเสียซึ่งหลักแห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมแล้วการเลือกตั้งนั้นก็จะเสียไป

อย่าลืมว่าในประเทศเผด็จการทั้งหลายแม้จะใช้ชื่อว่าประชาธิปไตยก็ตาม เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลี(เกาหลีเหนือ) ฯลฯ ต่างก็มีการเลือกตั้งเช่นกัน แต่การเลือกตั้งในประเทศเผด็จการทั้งหลายนั้นเป็น “การบังคับเลือก” (จะเอาหรือไม่เอา) ที่เรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น

2.การตรวจสอบ (monitor) การตรวจสอบเป็นวิธีการที่พลเมืองจะติดตามการประพฤติปฏิบัติของตัวแทนที่ตนเองเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนตนว่าเป็นไปตามที่ได้ให้นโยบายหรือหาเสียงไว้หรือไม่ เป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบาทหน้าที่ของตนหรือไม่ ซึ่งในประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไม่มีสิ่งนี้แต่จะมีสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย 4 วินาที” ซึ่งหมายถึงการหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้วก็แล้วกันไป

3.การถอดถอน (recall) เป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของประชาชนที่เมื่อตรวจสอบตามข้อ 2 แล้วยังสามารถมีสิทธิออกเสียงหรือถอดถอนบุคคลต่างๆบนหลักการพื้นฐานที่ว่า “เมื่อเลือกตั้งเข้ามาได้ก็ย่อมที่จะสามารถถอดถอนได้” เช่นกันนั่นเอง

4.การออกเสียงประชามติ (referendum and plebiscite) การออกเสียงประชามตินั้นถือได้ว่าเป็นประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy)อย่างหนึ่ง โดยแบ่งการออกเสียงประชามติออกเป็น 2 ประเภท คือ referendum ซึ่งหมายถึงอำนาจที่ประชาชนมีเพื่อใช้ตัดสินปัญหาต่างๆของรัฐตามความต้องการหรือเจตจำนงของตน ส่วนใหญ่ในทางปฏิบัติมักเกี่ยวข้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมในตอนใดตอนหนึ่งหรือการตัดสินใจที่สำคัญๆที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เช่น การแยกประเทศ เป็นต้น ส่วน plebiscite ในทางปฏิบัติเมื่อรัฐบาลมีปัญหาในระดับนโยบายที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เนื่องจากเมื่อตัดสินใจไปแล้วอาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อสังคม เช่น การเปิดบ่อนการพนันโดยเสรี การที่จะให้กัญชาหรือการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายอาญา(decriminalization) เป็นต้น แต่ในระยะหลังๆนี้สื่อและคนทั่วไปมักใช้รวมกันเป็น referendum ไปเสียเกือบหมด

5.ประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย (initiative) หากฝ่ายนิติบัญญัติไม่ทำตามหรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2560ตามมาตรา 133 กำหนดว่า ประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 คนขึ้นไป สามารถเสนอ ร่างพ.ร.บ.ตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยกับหมวด 5 หน้าที่ของรัฐได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่จะขาดเสียมิได้ แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องเป็นการทั่วไป เป็นอิสระ มีระยะเวลา เป็นการลงคะแนนลับ หนึ่งคนหนึ่งเสียง และที่สำคัญที่สุดคือบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งมิได้หมายความว่าเมื่อมีการเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่จะต้องประกอบไปด้วย การตรวจสอบ การถอดถอน การออกเสียงประชามติ และประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมายได้ด้วย จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

เข้าใจตรงกันนะครับ

----------

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net