ทหารจ่อเรียกนักวิชาการเข้าพบ หลังชูป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’

ทหารจ่อเรียก ‘ประจักษ์’ ‘ภัควดี’ ‘ชัยพงศ์’ และอีกสามนักวิชาการเข้าพบ หลังชูป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’ ด้าน ‘อนุสรณ์’ ชี้ ระบุผิด ‘ประจักษ์’ ไม่ใช่คนถือป้าย แต่เป็นคนอ่านแถลงการณ์ของ 176 นักวิชาการ ‘ปิ่นแก้ว’ โต้ 3 นักวิชาการนำเสนอบทความ ไม่ได้หาโอกาสเคลื่อนไหว แจงตลอดงานประชุมมี จนท.นอกเครื่องแบบรุกล้ำพื้นที่ ถ่ายรูป ไม่ขออนุญาต

 

ภาพจากเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง - คนส. 

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รักษาราชการแทนผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ทำหนังสือโทรสารในราชการกรมการปกครอง รายงานต่อปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องความเคลื่อนไหวของนักวิชาการในการประชุมสัมมนาไทยศึกษา ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โดยกล่าวว่ามีนักวิชาการ นักกิจกรรม และนักเคลื่อนไหวทางสังคม จำนวน 6 คน ทราบชื่อแล้ว 3 ราย คือ ประจักษ์ ก้องกีรติ ภัควดี วีระภาสพงษ์ และชัยพงษ์ สำเนียง ได้เดินทางมาชูป้ายข้อความว่า 'เวทีวิชาการ ไม่ใช่ ค่ายทหาร' โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นการถือป้ายเพื่อถ่ายภาพและโพสต์ลงสื่อออนไลน์ต่างๆ ของกลุ่ม โดยใช้สถานที่ภายในห้องประชุมสัมมนาและด้านหน้าห้องประชุมเป็นสถานที่ถ่ายภาพ

หนังสือดังกล่าวยังระบุว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาบุคคลเหล่านี้เคลื่อนไหวในนาม 'กลุ่มนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ คนส.' ที่มีประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกนนำและมักเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านทหารและการรัฐประหาร รวมทั้งเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออก และจะอาศัยจังหวะและโอกาสที่มีการจัดประชุม เสวนา หรือจัดเวทีนานาชาติเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เสมอมา

การดำเนินการของจังหวัดเชียงใหม่ โดยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) จังหวัดเชียงใหม่ จะได้เชิญนักวิชาการทั้ง 3 คนดังกล่าวเข้ามาพบเพื่อชี้แจง และขอความร่วมมือไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป

‘ปิ่นแก้ว’ โต้ สามนักวิชาการนำเสนอบทความ ไม่ได้หาโอกาสเคลื่อนไหว แจงตลอดงานประชุมมี จนท.นอกเครื่องแบบรุกล้ำพื้นที่ ถ่ายรูป ไม่ขออนุญาต

มติชนออนไลน์ สัมภาษณ์ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี นักวิชาการจากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า นี่เป็นจดหมายที่บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างที่สุด ข้อโต้แย้งรองผู้ว่าฯ จังหวัดเชียงใหม่ มีดังนี้

1.นักวิชาการที่ถูกเอ่ยชื่อทั้งสามคน เป็นผู้เข้าร่วมในงานประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ เชียงใหม่ ทั้งสามลงทะเบียนและนำเสนอบทความในงานวิชาการดังกล่าว เช่นเดียวกับนักวิชาการไทยและเทศอีกจำนวนหลายร้อยคน ไม่ได้เป็นพวก "อาศัยจังหวะที่มีการจัดการประชุมมาเคลื่อนไหวตามงานต่างๆ" อย่างที่กล่าวหาแต่อย่างใด

2.ตลอดงานประชุมวิชาการฯ มีทหารและตำรวจนอกเครื่องแบบหลายคน ถือวิสาสะเข้ามาในงานโดยไม่ลงทะเบียน ถ่ายรูปผู้คน ไม่ได้สนใจเนื้อหาของงานประชุม แต่บันทึกกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตต่อผู้จัดแต่อย่างใด เป็นการรุกล้ำพื้นที่ทางวิชาการในเวทีนานาชาติที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง

3.ป้าย 'เวีทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’ ที่ติดอยู่หน้าห้องประชุม เป็นการสื่อสารให้กับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างตรงไปตรงมา ให้เคารพเสรีภาพทางวิชาการ และยุติการแทรกแซงกิจกรรมทางปัญญาอย่างไร้เหตุผลเสียที และเป็นการสื่อสารอย่างสันติ นักวิชาการหลายท่าน รวมทั้งดิฉันเอง ก็ถ่ายรูปกับป้ายนี้ เพราะเอือมระอากับพฤติกรรมของทหารและตำรวจเต็มที่

จดหมายเรียกตัวฉบับนี้ของจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นการละเมิดสิทธิทางวิชาการอย่างถึงที่สุด และเป็นพฤติกรรมที่สมควรถูกประนามเป็นอย่างยิ่ง

‘อนุสรณ์’ ชี้ ระบุผิดคน ‘ประจักษ์’ ไม่ใช่คนถือป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’ แต่เป็นคนอ่านแถลงการณ์ของ 176 นักวิชาการ

ขณะเดียวกัน มติชนออนไลน์ สัมภาษณ์ อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง กล่าวถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นความผิดพลาดของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่ามีนักวิชาการ 6 คนเคลื่อนไหว โดย 3 คนที่เปิดชื่อมาตามภาพที่มีการชูป้ายนั้น ไม่มีอาจารย์ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มธ. อาจารย์ประจักษ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชูป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’ เลย แม้อาจาย์ประจักษ์จะทำกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ คนส. แต่อาจารย์ไม่ใช่ระดับแกนนำทำกิจกรรม เป็นเพียงพันธมิตรหรือวิทยากรรับเชิญเข้าร่วมพูดคุยหากมีหัวข้อที่อาจารย์ถนัดเท่านั้น ถือเป็นการผิดพลาดทางข้อเท็จจริง 2 ข้อ

กิจกรรมการอ่านแถลงการณ์เมื่อวาน อาจารย์ประจักษ์เป็นเพียงคนอ่านแถลงการณ์ของ 176 นักวิชาการไทยและต่างประเทศ คู่กับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียอีกคน ซึ่งเนื้อความในแถลงการณ์ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา เรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองและสิทธิทางวิชาการถูกริดรอนไปอย่างสำคัญ การระบุชื่อนักวิชาการของเจ้าหน้าที่นั้น ถือว่าเป็นการทำงานที่ชุ่ย จับแพะชนแกะ และมั่วมาก การระบุชื่ออาจารย์ประจักษ์ถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรง และไม่น่าประหลาดใจ หากหน่วยงานของรัฐจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังผิด ซึ่ง คนส. มีเป้าหมายในการปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ และเกี่ยวข้องกับการรวบรวมรายชื่อนักวิชาการออกแถลงการณ์ โดยวันนี้ ถึงแม้ไม่เกี่ยวโดยตรงแต่ถือเป็นหน้าที่ในการปกป้องเสรีภาพของผู้ที่เห็นต่างจากรัฐ โดยจะมีการกำหนดท่าที หากเจ้าหน้าที่รัฐเชิญนักวิชาการดังกล่าว จะมีการรวมตัวของนักวิชาการไปคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่น่าจะเรียก ซึ่งวันที่ 19 ก.ค. จะมีการออกแถลงการณ์ยืนยันในหลักการอีกที

“ประเทศนี้มีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลหลายเรื่องอยู่แล้ว มีการพยายามปิดกั้นไม่ให้คนคิดต่างได้แสดงออก มีการพยายามทำให้สังคมดูสงบปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะได้เป็นข้ออ้างว่า เมื่อเข้ามาแล้ว ประเทศสงบ ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ใช้ชีวิตปกติ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นเพราะคุณบังคับให้เขาใช้ชีวิตแบบนี้ ใครขึ้นมาก็ถูกจับ เราคิดว่ามันไม่ถูก หากมีจดหมายเรียกตัวบุคคลทั้ง 3 จริง เราก็จะรวมตัวกันไปพบ” อนุสรณ์กล่าว

เวลา 12.56 น. (วันนี้) ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นักวิชาการทั้งสาม คือ ประจักษ์ ก้องกีรติ ภัควดี วีระภาสพงษ์ และชัยพงษ์ สำเนียง ยังไม่ได้ถูกเรียกเข้าพบแต่อย่างใด

แถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) เรื่อง เสรีภาพทางวิชาการและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

กรณีที่มีการลงข่าวในเว็บไซต์มติชนโดยมีเนื้อหาเป็นโทรสารในราชการกรมการปกครองพาดพิงกิจกรรมของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ในลักษณะที่คลาดเคลื่อนหลายประการ คนส. จึงขอชี้แจงและแสดงจุดยืนดังนี้

1.กรณีการถือป้ายที่มีข้อความว่า 'เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร' แล้วสื่อต่างๆ ถ่ายภาพและนำไปเผยแพร่ในครั้งนี้ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ราชการตีความและกล่าวหาว่าเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ในการต่อต้านทหารและการทำรัฐประหาร รวมทั้งเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออก อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏข้อบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามการกระทำดังกล่าวมานั้นเลย

2.การที่เอกสารราชการกล่าวหา ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ว่ามีส่วนในกิจกรรมการชูป้ายที่มีข้อความข้างต้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 เวลา 15.00 น. นั้น เป็นเท็จ เนื่องจาก ผศ.ดร.ประจักษ์ ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมตามวันและเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้ ก็เป็นที่ทราบกันอย่างเปิดเผยผ่านสื่อสาธารณะอยู่แล้วว่า คนส. ได้ดำเนินกิจกรรมเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคัดค้านรัฐประหารในวาระโอกาสต่างๆ เป็นปกติจริง มิได้เป็นการฉวยโอกาสอย่างไร้เกียรติตามที่เอกสารราชการฉบับนี้กล่าวหาแต่อย่างใด

3.คนส. ขอยืนยันว่าการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธีเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้งนักวิชาการ การอ่านแถลงการณ์พร้อมรายชื่อแนบท้ายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษา ครั้งที่ 13 ณ ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ เป็นการยืนยันในหลักการดังกล่าวและแสดงออกซึ่งความห่วงใยของชุมชนนักวิชาการด้านไทยศึกษา ทั้งที่เป็นชาวไทยและนานาชาติที่ต้องการให้รัฐบาลเคารพเสรีภาพทางวิชาการ การแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกของประชาชน รวมถึงการคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการจัดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม และการปฏิรูปสถาบันต่างๆ ในสังคมไทย อันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและสิ่งที่รัฐบาลแสดงความจำนงว่าจะดำเนินการ

รัฐบาลจึงสมควรมองผู้เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความเห็นอย่างสุจริตด้วยท่าทีที่เข้าอกเข้าใจและเป็นมิตร ไม่นำเอาข้อกล่าวหาในเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาใช้เพื่อกลบเกลื่อนความล่าช้าในการคืนประชาธิปไตยให้กับสังคมไทยอีกต่อไป และหากมีการเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมข้างต้น คนส. ก็พร้อมจะร่วมไปชี้แจงให้รัฐบาลได้ตระหนักในหลักการดังกล่าวนี้

ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
19 กรกฎาคม 2560

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท