สืบเนื่องจากคืนวันที่ 24 และเช้าวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมาในพม่า เกิดเหตุกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิมโจมตีจุดตรวจบริเวณชายแดน สถานีตำรวจและฐานทัพในเขตชุมชน Maungdaw, Buthidaung และ Rathedaung บริเวณภาคเหนือของรัฐยะไข่ตามการรายงานของ พล.อ.อาวุโสและผู้บัญชาการทหารสูงสุด มินอ่องเหลง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตอย่างน้อย 10 นาย ผู้ที่คาดว่าเป็นกลุ่มติดอาวุธเสียชีวิต 15 ราย และมีอาวุธปืน 5 กระบอกถูกผู้ก่อเหตุขโมยไป
เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) สำนักข่าวอิระวดี รายงานว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่าง วินมิน ปัดข้อเสนอเร่งด่วนจากพรรคฝ่ายค้าน USDP (Union Solidarity and Development Party) ในประเด็นรัฐยะไข่
ลาธายวิน สมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรคยูเอสดีพี ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกองเสนาธิการทหารบก เรือ อากาศแห่งกองทัพพม่าพยายามผลักดันข้อเสนอให้ทางสภาล่างมีมาตรการประณาม “การกระทำอย่างทารุณเยี่ยงผู้ก่อการร้ายในเมือง Maungdaw ที่เป็นภัยกับอธิปไตยแห่งรัฐ หลักนิติธรรมและความมั่นคงในภูมิภาค” อองเตาก์ฉ่วย สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรคแห่งชาติอารากัน หรือเอเอ็นพี ที่เป็นตัวแทนของเขตชุมชน Buthidaung หนึ่งในพื้นที่เกิดเหตุกล่าวกับอิระวดีว่าตนมีแผนที่จะสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว แต่ว่าประธานรัฐสภาไม่อนุญาตให้ข้อเสนอดังกล่าวเข้ารับการพิจารณา
อองเตาก์ฉ่วย แนะนำให้รัฐสภาประกาศภาวะฉุกเฉินบนพื้นที่เขตชุมชน Maungdaw ทั้งยังระบุเพิ่มว่าควรให้มีการปกครองโดยทหารแทนการปกครองโดยพลเรือน และรัฐบาลพรรค NLD หรือ National League for Democracy ไม่ได้จัดการกับความไร้เสถียรภาพในเมือง Maungdaw ได้ดีพอ “มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ภาวะฉุกเฉินและการปกครองโดยทหาร ไม่มีการปกครองโดยพลเรือนในตอนนี้เพราะว่ามันได้พังทลายลงไปพร้อมกับหลักนิติธรรม” อองเตาก์ฉ่วย กล่าว
กองกำลังอารากันโรฮิงญาออกมาแสดงความรับผิดชอบ
ทหารตอบโต้เข้าจู่โจมชุมชน ยอดตายนับร้อย พลัดถิ่นนับหมื่น
การโจมตีครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นถือเป็นการโจมตีจากกลุ่มมุสลิมชาวโรฮิงญาครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่การโจมตีจุดตรวจชายแดนเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2559 หลังการโจมตี กลุ่มกองกำลัง Arakan Rohingya Salvation Army (ARSA) ออกมาแสดงความรับผิดชอบการโจมตีดังกล่าวโดยระบุว่า การโจมตีเป็นผลจากการปิดล้อมเส้นทางขนส่งอาหารและความรุนแรงจากทหารที่มีต่อชาวโรฮิงญาอย่างต่อเนื่อง และจะสู่ต่อไปจนกว่าข้อตกลงด้านสิทธิพลเมืองที่ชาวโรฮิงญาเรียกร้องกับรัฐบาลพม่าจะได้รับการตอบรับ
การโจมตีเกิดขึ้นภายหลังคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐยะไข่ที่นำโดยอดีตเลขาธิการสหประชาชาติ โคฟี อันนัน ส่งรายงานเสนอแนวทางแก้ไขความขัดแย้งในรัฐยะไข่ที่ให้คำแนะนำแก่ทางการพม่าให้ทหารออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเร่งให้เกิดแผนการสร้างพลเมืองโดยเร็ว
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคืนวันพฤหัสบดีและเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลพม่าระบุให้กลุ่มกองกำลัง ARSA เป็นองค์กรผู้ก่อการร้ายไปแล้ว สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ รายงานว่าทหารได้ประกาศสงครามกับการก่อการร้ายโดยปิดล้อมเมือง Maungdaw Buthidaung และ Rathedaung ที่มีประชากรอาศัยอยู่รวมกันราว 8 แสนคนและประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่ 18.00 - 6.00 น. ทางการพม่าระบุว่ามีผู้เสียชีวิตหลังเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเช้าวันศุกร์กว่า 100 คนแล้ว ทั้งนี้ ผู้สนับสนุนชาวโรฮิงญากลับบอกกับอัลจาซีราว่ามีชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมเสียชีวิตกว่า 800 คน ในจำนวนนี้ได้รวมไปถึงสตรีและเด็กด้วย
อาซิซ ข่าน ผู้พำนักอยู่ในเขตชุมชน Maungdaw กล่าวว่าทหารเข้าจู่โจมหมู่บ้านในเช้าวันศุกร์และเริ่ม “ยิงบ้านและรถของผู้คนอย่างไม่เจาะจง”
“กองกำลังของรัฐบาลและตำรวจชายแดนฆ่าคนในหมู่บ้านไปอย่างน้อย 11 คน พวกเขามาถึงแล้วก็ยิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ทหารบางคนได้ทำการวางเพลิงด้วย”
“ในหมู่คนที่ตายมีผู้หญิงและเด็ก” เขากล่าว “แม้แต่เด็กก็ไม่ได้รับการละเว้น”
ในขณะที่โรเนซาน-ลวิน นักกิจกรรมและบล็กเกอร์ชาวโรฮิงญาในยุโรปได้ข้อมูลจากเครือข่ายในพื้นที่ว่า การโจมตีดังกล่าวทำให้ประชาชนกว่า 5,000 - 10,000 คน ต้องพลัดถิ่นที่อยู่ มัสยิดและมาดราซาส หรือสถาบันศาสนาอิสลามถูกเผาทำลาย และมีชาวมุสลิมหลายหมื่นคนขาดแคลนอาหารและที่อยู่
เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2559 กลุ่ม “การเคลื่อนไหวแห่งศรัทธา” หรือ Harakah al-Yaqin ซึ่งเป็นชื่อเดิมของกลุ่ม ARSA ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการโจมตีจุดตรวจชายแดนและสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจไป 9 นาย หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ตำรวจและทหารตอบโต้ด้วยปฏิบัติการกวาดล้างในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ เป็นผลให้ชาวโรฮิงญาถึง 7 หมื่นคนต้องอพยพไปประเทศบังคลาเทศ ปฏิบัติการกวาดล้างดังกล่าวได้รับการกล่าวหาจากองค์กรสิทธิมนุษยชนจากต่างประเทศว่าเกิดการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การทรมานและการข่มขืน และท่ามกลางความรุนแรง รัฐบาลพม่ายังคงปฏิเสธให้วีซาเจ้าหน้าที่ค้นหาข้อเท็จจริงจากสหประชาชาติ