Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

จากการที่คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้เดินทางไปฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่25 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา จนศาลฯออกหมายจับและยึดเงินประกัน และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเธอได้เดินทางออกไปต่างประเทศแล้ว ในระยะแรกๆที่ฝุ่นยังตลบอยู่ก็เกิดความงุนงงสงสัย มีการวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ซึ่งกระแสที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นทุกฝ่ายได้รับชัยชนะ(win win solution) เพราะคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่ต้องติดคุกและไม่ต้องผจญกับคดีที่เหลืออีกเป็นสิบๆคดี สามารถใช้ชีวิตอย่างสบายตามประสาเศรษฐีเดินทางไปได้รอบโลกยกเว้นไทย มวลชนที่เคยสนับสนุนก็ยังคงเข้าใจและ เห็นใจที่เธอตัดสินใจเช่นนั้น เว้นแต่ฝ่ายที่ต้องการเห็นเธอเป็นออง ซาน ซู จี เมืองไทยก็อาจจะผิดหวังเล็กๆ เพราะคงมีน้อยคนที่คิดว่าเธอจะเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ

ส่วน คสช.ก็หมดสิ้นเสี้ยนหนามหรือหอกข้างแคร่ไปอีกหนึ่ง คสช.ก็จะได้เดินตามโรดแม็ปอย่างสะดวกโยธินเสียที เพราะหากคุณยิ่งลักษณ์เลือกที่จะติดคุก แน่นอนว่านอกเหนือจากกระแสความปั่นป่วนจากมวลชนที่จะเกิดขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่าทุกวันที่หน้าเรือนจำที่คุมขังคุณยิ่งลักษณ์จะต้องมีผู้คนมาเยี่ยมเยียนหรือมารวมตัวกันให้กำลังใจไม่มากก็น้อย สื่อมวลชนแขนงต่างๆก็จะต้องมีการรายงานข่าวว่า วันนี้คุณยิ่งลักษณ์กินข้าวไม่ค่อยได้ ป่วยครั่นเนื้อครั่นตัว วันนี้ดูเครียด วันนี้ดูร่างเริงแจ่มใส ฯลฯ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องปวดหัวต่อ คสช.อย่างแน่นอน

ส่วนฝ่ายตรงข้ามกับเธอไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือ กปปส.ต่างแสดงความยินดีออกมาจนนอกหน้า มีการเยาะเย้ยถากถางกันอย่างสนุกสนาน บางรายลืมตัวเล่นเลยเถิดไปจนเป็นการเหยียดเพศทั้งๆที่ตนเองเป็นถึงศิลปินแห่งชาติ จนถูกล่าชื่อถอดถอน ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองอื่นก็ถือโอกาสเล่นบท “พี่คนดี” ให้สัมภาษณ์ตีกินเป็นระยะๆเพราะเหตุที่มีความหวังว่าคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญของตนคือพรรคเพื่อไทยน่าจะอ่อนแรงลง

แต่เมื่อถึงวันนี้ที่ฝุ่นค่อยๆจางลง การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หลายคนเริ่มกลับมาหวนคิดและเกิดคำถามว่าเหตุใดคุณยิ่งลักษณ์จึงสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างลอยนวล ไหนว่าฝ่ายความมั่นคงคอยจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิดจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็มีคนคอยตามหาข่าวถ่ายรูปและรายงานเป็นระยะๆ ฝ่ายพันธมิตรฯและ กปปส.เริ่มเกิดรู้สึกว่าถูกหักหลังเพราะเกิดความสงสัยว่า คสช.นั้น “เกี้ยเซี้ย”กับคุณยิ่งลักษณ์และคุณทักษิณเสียแล้ว จนมีการร้องถามขึ้นมาทางสื่อและการสอบถามไปยัง ปปช.ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้คุณยิ่งลักษณ์หนีไปหรือไม่ อย่างใด

ในส่วนของมวลชนที่สนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์ก็เช่นเดียวกัน ก็เริ่มสงสัยว่าในเมื่อคุณยิ่งลักษณ์พูดอยู่เสมอว่าพร้อมที่จะติดคุก แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเพราะแม้แต่จะติดคุกก็ยังไม่ได้เชียวหรือ ฤาว่ามีการข่มขู่เอาชีวิตแม้ว่าจะยอมติดคุกก็ตาม ฯลฯ จึงเกิดความรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว

จากสถานการณ์เช่นนี้เมื่อประกอบเข้ากับระบบการเมืองที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญฯก็ดี หลายคนหันมาพิจารณาถึงอนาคตบ้านเมืองนับต่อจากนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกว่า ผลแห่งการดำเนินคดีจากการดำเนินนโยบายก็ดี หรือการที่จะไม่ดำเนินตามยุทธศาสตร์ชาติก็ดี ฯลฯ ทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดมีขึ้นนั้น คนที่มีความรู้ความสามารถที่ไหนจะอาสาเข้ามาทำงานการเมือง ระบบการเมืองแบบนี้จะดึงดูดคนแบบไหนเข้ามา ระบบการเมืองแบบนี้จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำนโยบายที่มีผลต่อสังคมจริงๆออกมาเพราะในที่สุดก็จะถูกนำมาเล่นงานอยู่ดี

การบริหารประเทศก็จะเป็นไปในลักษณะเช้าชาม เย็นชาม ทำงานในลักษณะงานประจำดังเช่นข้าราชหรือพนักงานของรัฐทำอยู่  ทุกคนต่างทำงานแบบประคองตัว ไทยเราก็จะเป็นรัฐราชการสมบูรณ์แบบ (absolute bureaucratic polity) ในขณะที่เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 แล้ว รัฐไทยที่ปกติก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ (function) อยู่แล้ว ก็ยิ่งด้อยประสิทธิภาพลงไปอีก

ความเสียหายที่สำคัญนอกจากกระบวนการยุติธรรมที่ถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลงแล้วพัฒนาการของประชาธิปไตยของไทยเราที่วิวัฒนาการมาโดยตลอดและสะดุดหยุดอยู่เป็นระยะๆเมื่อมีการรัฐประหาร แต่ในครั้งนี้ประชาธิปไตยของเราแทนที่จะสะดุดหยุดอยู่กลับกลายเป็นสะดุดหยุดลงและถอยหลังไปไกลกว่าจุดเริ่มต้นเมื่อ 85 ปีที่แล้วเสียอีก

กล่าวโดยสรุปก็คือจากการคาดการณ์ว่าการที่คุณยิ่งลักษณ์เดินทางออกประเทศที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการ win win ทุกฝ่ายนั้นไม่ใช่เสียแล้ว กลับกลายเป็นการพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ฝ่ายรัฐประหารและผู้สนับสนุนก็พ่ายแพ้เพราะนอกจากจะเกิดความหวาดระแวงและลดทอนความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว คสช.ทำอย่างไรก็ไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหาร การปรองดองตามที่ประกาศไว้ก็ไม่เกิดขึ้น มีแต่จะแตกแยกร้าวลึก ฝ่ายที่เรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็กลับมาขัดแย้งขบกัดกันเองดังที่เห็นได้ทั่วไปในโซเชียลมีเดีย มึงว่ากู กูว่ามึง ซึ่งยิ่งทำให้กระแสประชาธิปไตยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมานี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเมืองไทย และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ยากจะหวนกลับ(point of no return) เพราะมันได้จมดิ่งลงไปยังก้นเหวที่ลึกมากเกินกว่าจะเยียวยาได้ บางทีในชั่วชีวิตนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นเลยเสียด้วยซ้ำ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net