Skip to main content
sharethis

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายถึงชะตากรรมชาวโรฮิงญา หลังหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาประมาณ 1.5 แสนคนได้หลบหนีเข้าสู่บังคลาเทศ ผลมาจากปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าที่มีต่อกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา

แฟ้มภาพ ประชาไท

8 ก.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เขียนอธิบายถึงชะตากรรมของประชาชนชาวโรฮิงญา หลังจากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาประมาณ 150,000 คนได้หลบหนีเข้าสู่ประเทศบังคลาเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าที่มีต่อกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา โดยเป็นปฏิบัติการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้สัดส่วนอย่างสิ้นเชิง ตามหลักการได้สัดส่วนของการใช้กำลังอาวุธ เป็นปรากฎการณ์ที่สะท้อนถึงการกดขี่ปราบปรามจากรัฐที่กระทำต่อพวกเขา และวิกฤตที่ส่งผลกระทบด้านมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

กลุ่มชนที่ถูกกดขี่ปราบปราม

ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิม มีจำนวนประชากรประมาณ 1.1 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของพม่า มีพรมแดนติดกับบังคลาเทศ 

แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในพม่ามาหลายชั่วคน แต่รัฐบาลพม่ายืนยันว่าชาวโรฮิงญาทั้งหมดเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังคลาเทศ และไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นพลเมืองของตน ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่เป็นคนไร้รัฐ 

ผลจากการเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ พวกเขาจึงมีชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อถูกกีดกันออกจากประชากรส่วนอื่น ๆ โดยจงใจชาวโรฮิงญาไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางอย่างเสรี และมีโอกาสเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล การศึกษา หรือการมีงานทำอย่างจำกัด

ในปี 2555 เกิดความขัดแย้งครั้งสำคัญระหว่างชาวโรฮิงญากับประชากรส่วนใหญ่ในรัฐยะไข่ ซึ่งส่วนมากเป็นชาวพุทธ ส่งผลให้เกิดการก่อจลาจล เป็นเหตุให้ประชากรหลายหมื่นคนโดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน และไปอาศัยอยู่ในค่ายกักกันที่มีสภาพเลวร้าย คนที่อาศัยอยู่ในค่ายเหล่านี้ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เดินทาง และถูกแยกกีดกันออกจากชุมชนอื่น ๆ

ในเดือนตุลาคม 2559 ภายหลังการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาต่อฐานทัพของตำรวจทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ เป็นเหตุให้กองทัพพม่าเริ่มปฏิบัติการปราบปราม โดยพุ่งเป้าไปที่ชุมชนทั้งหมด แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา รวมทั้งการสังหารอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย การจับกุมโดยพลการ การข่มขืนกระทำชำเราการทำร้ายทางเพศต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง และการเผาบ้านเรือนกว่า 1,200 หลัง รวมทั้งอาคารเรียนและมัสยิด ในครั้งนั้นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีข้อสรุปว่า ปฏิบัติการเหล่านี้อาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุด

กระแสการอพยพของประชาชนจำนวนมากเข้าสู่ประเทศบังคลาเทศครั้งล่าสุดเกิดภายหลังปฏิบัติการทางทหารของพม่า เพื่อตอบโต้กับการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาที่มีต่อค่ายทหารเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม โดยการตอบโต้ของกองทัพทั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้สัดส่วนอย่างสิ้นเชิง (ตามหลักการได้สัดส่วนของการใช้กำลังอาวุธ) เป็นการปฏิบัติต่อประชาชนทั้งหมดราวกับอริราชศัตรู รายงานจากในพื้นที่ระบุถึงการเสียชีวิตของพลเรือน รวมทั้งการเผาทำลายหมู่บ้านอย่างราบคาบ

รัฐบาลพม่ากล่าวว่า จนถึงปัจจุบันมีประชาชนที่ถูกสังหารอย่างน้อย 400 คน โดยระบุว่าส่วนใหญ่ถูกสังหารโดย “กลุ่มก่อการร้าย” นอกจากนี้ยังมีรายงานที่กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาได้ใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน รวมทั้งประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาอื่นที่เป็นชนกลุ่มน้อย

ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?

กองทัพพม่าเป็นตัวหลักในการกระทำอันโหดร้ายครั้งล่าสุดนี้การที่กองทัพเป็นอิสระอย่างมากจากรัฐบาลพลเรือน และไม่ต้องรับผิดในการไต่สวนของศาลพลเรือน จึงทำให้ผู้บัญชาการในทุกระดับและทหารไม่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดใด ๆ ที่ตนเองเป็นผู้กระทำระหว่างวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ กองทัพพม่ามีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮิงญาและประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาอื่นที่เป็นชนกลุ่มน้อยในพม่า

อย่างไรก็ดี อองซานซูจีซึ่งเป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐพม่าและเป็นผู้นำประเทศในทางพฤตินัย กลับไม่ยอมรับข้อเท็จจริงตามรายงานว่ามีปฏิบัติการโดยมิชอบและโหดร้ายของกองทัพ และไม่ได้ดำเนินการเพื่อลดความตึงเครียดเหล่านี้

ช่วงต้นเดือนนี้ ทางหน่วยงานของอองซานซูจียังกล่าวหาว่าผู้ทำงานให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพม่า ให้ความสนับสนุนกับกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเหล่านี้เกิดความหวาดกลัวต่อความปลอดภัยของตนเอง 

อองซานซูจียังไม่รับฟังความเห็นจากองค์การสหประชาชาติและผู้นำโลก ซึ่งเรียกร้องให้เธอดำเนินการแทรกแซงเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในรัฐยะไข่

หายนะทางมนุษยธรรม

จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ชาวโรฮิงญาเกือบ 150,000 คน ได้หลบหนีเข้าสู่บังคลาเทศในช่วงสองสัปดาห์แรกของวิกฤตครั้งนี้ และคาดว่าจะมีการหลบหนีเข้ามาอีก

คนที่มาถึงบังคลาเทศอยู่ในสภาพได้รับบาดเจ็บ หิวโหย และถูกทำร้าย พวกเขาต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนรวมทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย และบริการรักษาพยาบาล ทางการบังคลาเทศต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อตอบสนองความต้องการของคนที่ทุกข์ยากเหล่านี้

ในประเทศพม่า คาดว่ามีประชาชนประมาณ 27,000 คน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่ต้องพลัดถิ่นฐานในรัฐยะไข่ และในปัจจุบันได้รับความช่วยเหลือจากทางการพม่า

ทางการพม่าได้ห้ามไม่ให้องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ นำอาหาร น้ำ และเวชภัณฑ์ไปให้กับประชาชนหลายหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา คนเหล่านี้ต่างหลบหนีไปยังอยู่ในป่าเขาที่รกร้างทางตอนเหนือของรัฐยะไข่

ชาวโรฮิงญาจำนวนมากต้องพึ่งพาความช่วยเหลือให้มีชีวิตรอด ตั้งแต่ก่อนจะเกิดความรุนแรงครั้งล่าสุด การปิดกั้นความช่วยเหลือเหล่านี้ยิ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงภัยมากขึ้นต่อประชาชนหลายหมื่นคน และแสดงให้เห็นความเพิกเฉยต่อชีวิตมนุษย์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net