ยูนิเซฟชี้มีเพียง 15 ประเทศ ที่มีนโยบายหนุนครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ไทยยังไม่ครบ

ยูนิเซฟระบุมีเพียง 15 ประเทศ ที่มี 3 นโยบายหลักช่วยให้พ่อแม่มีเวลาและทรัพยากรเพียงพอส่งเสริมพัฒนาสมองของลูก 32 ประเทศที่กลับไม่มีเลย ไทยแม่ที่เป็นลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดได้เพียง 3 เดือน ขณะที่พ่อไม่มีสิทธิและยังไม่มีนโยบายให้แม่หยุดพักระหว่างวันเพื่อบีบเก็บน้ำนมในช่วงหกเดือนแรก

ภาพ ถ่ายโดย เมธี เถื่อนทัพ: แม่กับลูกน้อยของเธอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ. อุบลราชธานี

21 ก.ย.2560 รายงานข่าวจาก องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ประเทศไทย แจ้งว่า การศึกษาของยูนิเซฟที่ชื่อว่า “ขวบปีแรกของชีวิตสำคัญยิ่งสำหรับเด็กทุกคน” หรือ Early Moments Matter for Every Child ระบุว่านโยบายหลัก 3 ประการ ได้แก่ นโยบายเรียนฟรีในช่วงปฐมวัย 2 ปี นโยบายหยุดพักระหว่างวันเพื่อบีบเก็บน้ำนม และนโยบายลาคลอด 6 เดือนสำหรับแม่ และ 4 สัปดาห์สำหรับพ่อ เป็นสิ่งจำเป็นในการวางรากฐานเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาสูงสุดในช่วงปฐมวัย เพราะจะเอื้อให้พ่อแม่สามารถดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องโภชนาการ การส่งเสริมการเรียนรู้ และการเล่นกับลูก โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกๆ ของชีวิตซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองเด็กพัฒนารวดเร็วที่สุด
 
สำหรับประเทศไทย แม้จะมีนโยบายเรียนฟรีในช่วงปฐมวัย แต่แม่ที่เป็นลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ในขณะที่พ่อไม่มีสิทธิลาเลยยกเว้นเป็นข้าราชการซึ่งลาได้เพียง 15 วัน นอกจากนี้ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายให้แม่หยุดพักระหว่างวันเพื่อบีบเก็บน้ำนมในช่วงหกเดือนแรก
 
ผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ ระบุว่า มีเด็กเพียงร้อยละ 23 ในประเทศไทยที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรก สาเหตุหนึ่งที่อัตรานี้อยู่ในระดับที่ต่ำ ก็คือการที่แม่ต้องกลับไปทำงานหลังลาคลอด 3 เดือน และยังขาดการสนับสนุนในที่ทำงาน เช่น ไม่มีห้องหรือมุมนมแม่ หรือไม่อนุญาตให้แม่หยุดพักเพื่อบีบเก็บน้ำนม
 
โธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการช่วยให้เด็กได้เริ่มต้นชีวิตอย่างดีที่สุด การขยายสิทธิในการลาคลอดจะส่งผลดีต่อตัวเด็กๆ และอนาคตของประเทศด้วย เพราะเป็นการช่วยให้แม่สามารถให้นมแม่ได้เต็มที่ตลอดหกเดือน อีกทั้งมีเวลาสร้างสายสัมพันธ์และกระตุ้นพัฒนาการของลูกอย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ ได้รับสารอาหารและการเลี้ยงดูที่ดีที่สุดในช่วงเริ่มต้นชีวิต
 
การศึกษาของยูนิเซฟชี้ให้เห็นว่า มีเพียงประเทศคิวบา ฝรั่งเศส โปรตุเกส รัสเซีย และสวีเดนเท่านั้นที่มีนโยบายหลักทั้งสามด้านนี้ ในขณะที่เด็กๆ อีก 85 ล้านคนอาศัยอยู่ใน 32 ประเทศที่กลับไม่มีนโยบายเหล่านั้นเลย ซึ่งในจำนวนนี้ เด็กร้อยละ 40 อาศัยอยู่ใน 2 ประเทศ คือ บังคลาเทศและสหรัฐอเมริกา
 
แอนโทนี่ เลค ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เด็กมีคือสมองนั่นเอง แต่ผู้ใหญ่มักไม่สนใจดูแลสมองเด็กเท่ากับดูแลร่างกายของพวกเขาโดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ทั้งๆ ที่เป็นช่วงสำคัญในการวางรากฐานของการพัฒนาสมองและอนาคตของเด็ก ดังนั้น เราต้องช่วยสนับสนุนให้พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กเล็กให้สามารถดูแลลูกได้อย่างดีที่สุดในช่วงนี้
 
การศึกษาชิ้นนี้ยังระบุว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหลายล้านคนทั่วโลกกำลังเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและขาดการดูแลที่เหมาะสม โดยพบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีประมาณ 75 ล้านคนอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีสงครามความขัดแย้ง เสี่ยงต่อความเครียดรุนแรง ซึ่งอาจทำให้การเชื่อมต่อของเซลล์สมองต้องหยุดชะงักลง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 155 ล้านคนทั่วโลกมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดโภชนาการที่ดี การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือการต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ร่างกายและสมองของเด็กไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ในประเทศไทย เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีประมาณ 1 ใน 10 คน มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น ซึ่งอัตรานี้รุนแรงขึ้นในกลุ่มเด็กยากจน
 
เด็กอายุ 2-4 ปีประมาณ 1 ใน 4 คนใน 64 ประเทศขาดการทำกิจกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง เช่น การเล่น การอ่านหนังสือ หรือการร้องเพลง ในประเทศไทย เด็กเล็กเกินครึ่งมีหนังสือเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึง 3 เล่ม ในขณะที่พ่อเพียง 1 ใน 3 คนเท่านั้นทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้กับลูก เด็กประมาณ 300 คนทั่วโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อากาศเป็นพิษ ซึ่งการศึกษาหลายชิ้นระบุว่าอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาสมองของเด็ก
 
โดยเฉลี่ยแล้ว รัฐบาลทั่วโลกใช้งบประมาณเพียงร้อยละ 2 ของงบประมาณด้านการศึกษาทั้งหมดไปกับการลงทุนด้านเด็กปฐมวัย อย่างไรก็ตาม การศึกษาของยูนิเซฟระบุว่า การลงทุนในการพัฒนาเด็กปฐมวัยจะส่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจหลายเท่าในอนาคต โดยทุกๆ 1 ดอลล่าร์ที่ลงทุนด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะให้ผลตอบแทนถึง 35 เท่า และทุกๆ 1 ดอลล่าร์ที่ลงทุนในการดูแลและการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กที่ขาดโอกาสที่สุดจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 17 เท่า
 
“การมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัยถือเป็นการลงทุนที่จำเป็นต่อสมองของเด็กในวันนี้ ซึ่งก็คือประชากรและแรงงานของประเทศในอนาคต นั่นหมายความว่า มันคือการลงทุนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของโลกเรา” แอนโทนี่ เลค กล่าวย้ำ
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท