Skip to main content
sharethis
ภาคประชาสังคมยันต้องจับตา-ตรวจสอบการแก้ไข พ.ร.บ.ยา-สิทธิบัตร อย่างใกล้ชิด แย้งหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลให้ข้อมูลต่อสาธารณะไม่ครบรอบด้าน และไม่ได้นำข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติมาใช้ เพื่อขจัดการผูกขาดผ่านระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่เป็นธรรมและยาราคาแพง
 
22 ธ.ค. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โพสต์ข้อความบนเว็บไซด์ของหน่วยงานพร้อมกันเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีที่สหรัฐฯ ถอดประเทศไทยออกจากกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษด้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ (Priority Watch List) เป็นเพราะการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับแก้ไข และการแก้ไข พ.ร.บ. สิทธิบัตรเพื่อให้เป็นไปตามวรรคหกของปฏิญญาโดฮาฯ และกำหนดระยะเวลาการประกาศโฆษณาและการยื่นเพื่อตรวจสอบขั้นตอนการประดิษฐ์
 
เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่รณรงค์การเข้าถึงยา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ แสดงความคิดเห็นว่า อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้แต่ข้อมูลด้านดีของร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตรฉบับแก้ไข แต่ไม่ได้พูดถึงเนื้อหาอื่นที่จะก่อความเสียหายต่อการเข้าถึงยา โดยเฉพาะในเรื่องการใช้สิทธิโดยรัฐหรือมาตรการซีแอล การแก้ไขเนื้อหาในส่วนนี้ถือว่าถอยหลังเข้าคลอง ในขณะที่รายงานการเข้าถึงยาโดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงขององค์การสหประชาชาติสนับสนุนให้ ประเทศต่างๆ นำมาตรการซีแอลมาใช้อย่างกว้างขวางและโดยสะดวกยิ่งขึ้น ถึงขนาดมีข้อแนะนำด้วยว่าให้ประเทศที่ถูกขัดขวางหรือกดดันไม่ให้นำมาตรการซีแอลมาใช้ร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลกได้ 
 
เฉลิมศักดิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก้ไข พ.ร.บ. สิทธิบัตร โดยทำให้การนำมาตรการซีแอลมาใช้มีอุปสรรคและเป็นไปได้ยากมากขึ้น เช่น การลดหน่วยงานรัฐที่จะประกาศใช้ซีแอลลงเหลือแค่กระทรวง จากเดิมที่มีทบวงและกรม แทนที่จะแก้ไขให้มีหน่วยของรัฐอื่นๆ ประกาศใช้ซีแอลได้มากขึ้น และการที่ยอมให้ผู้ทรงสิทธิบัตรร้องต่อศาลให้ยกเลิกคำสั่งประกาศใช้ซีแอลได้ ซึ่งใน พ.ร.บ. ฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดไว้ และเป็นข้อกฎหมายที่เข้มงวดเกินว่าข้อตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาหรือ “ทริปส์” ขององค์การการค้าโลก และขัดแย้งกับปฏิญญาสากลโดฮาว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญากับการสาธารณสุข
 
“การทำให้นำมาตรการซีแอลมาใช้ได้ยากลำบากเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการมาตลอด  สหรัฐฯ ลดสถานะไทยอยู่ในบัญชีดำด้านทรัพย์สินทางปัญญาทันทีและต่อเนื่องมาสิบปี เพราะไทยประกาศใช้ซีแอลในปี 2549 – 2550” เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ กล่าว พร้อมเสนอว่า กรมฯ ควรแก้ไข พ.ร.บ. ให้ขยายระยะเวลาการคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรออกไปตามที่ภาคประชาสังคมเสนอ ไม่ใช่คงเดิมไว้เพียง 90 วันนับจากวันประกาศโฆษณา การกำหนดระยะเวลาการประกาศโฆษณาและการยื่นตรวจสอบขั้นตอนการประดิษฐ์ไม่ได้ช่วยขจัดปัญหาสิทธิบัตรยาด้อยคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
เฉลิมศักดิ์ ยังมีความคิดเห็นต่อการแก้ไข พ.ร.บ.ยา ด้วยว่า ในระหว่างรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่กำหนดให้ผู้ขึ้นทะเบียนยากับ อย. ต้องแจ้งโครงสร้างราคาถูกตัดทิ้งไป ทั้งๆ ที่ประเทศไม่มีมาตรการใดๆ ตรวจสอบหรือควบคุมราคายาเลย สิ่งนี้จะเป็นปัญหาต่อการเข้าถึงยาอย่างมาก โดยเฉพาะยาราคาแพงและติดสิทธิบัตร  ในระบบหลักประกันสุขภาพ ยาที่มีสิทธิบัตรหลายตัวไม่สามารถต่อรองราคาให้ลดลงได้มากพอ หรือไม่ถูกกำหนดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
 
“อย. ละเลยไม่นำข้อแนะนำในรายงานการเข้าถึงยาของคณะผู้ทรงฯ ขององค์การสหประชาชาติมาปรับใช้ ซึ่งระบุให้ผู้ขอขึ้นทะเบียนยาต้องแจ้งโครงสร้างราคายาให้กับหน่วยงานที่กำกับดูแล  ส่วนกรมการค้าภายใน ก็ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเช่นกัน โดยไม่นำ พรบ. ควบคุมราคาสินค้าและบริการมาใช้อย่างเต็มที่  แม้ว่ายาจะถูกกำหนดเป็นสินค้าที่ต้องควบคุมราคา  สิ่งที่กรมฯ ทำคือให้ระบุราคายาไว้ที่บรรจุภัณฑ์เท่านั้น” เฉลิมศักดิ์ กล่าว
 
นอกจากนี้ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงภาคประชาชน (FTA Watch) แสดงความไม่เห็นด้วยต่อข่าวเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 ที่รองนายกฯ วิษณุ เครืองามจะให้ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขปัญหาคำขอรับสิทธิบัตรคั่งค้างจำนวนมาก และการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปยังไม่ควรรื้อฟื้นและดำเนินการในช่วงนี้
 
“แค่นับตั้งแต่มีคู่มือตรวจสอบคำขอฯ สิทธิบัตรยามา 5 ปี เรายังพบว่ามีคำขอฯ ที่ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น  ถ้าให้มีการเร่งพิจารณาฯ ตาม ม.44 จะเป็นการปล่อยผีสิทธิบัตรยา ทำให้เกิดปัญหาสิทธิบัตรด้อยคุณภาพและการผูกขาดที่ไม่เป็นธรรมเพิ่มขึ้นอีก” กรรณิการ์กล่าว พร้อมเสริมว่า สหภาพยุโรปไม่ควรกระทำตัวแบบปากว่าตาขยิบและกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ควรฉวยโอกาสในช่วงที่ประเทศไทยขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เปิดการเจรจาเอฟทีเอกับไทยอีกครั้งในขณะนี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net