Skip to main content
sharethis

สุภาพ คำแหล้ ภรรยาเด่น คำแหล้ นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งหายตัวไป ได้รับอิสรภาพแล้ว หลังถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา คดีรุกป่าสงวนฯ ยืนยันเมื่อความยุติธรรมยังไม่ปรากฏ ก็ยังต้องสู้ต่อเพื่อความมั่นคงของชุมชนโคกยาว

บ้านน้อยหลังนี้ที่มีคนหาย และกลับกลายเป็นบ้านแสนอ้างว้าง โดยเฉพาะความมืดที่เข้ามาเยือนทุกค่ำคืน ความรู้สึกยิ่งแลดูเงียบเหงาลงอย่างรวดเร็ว เมื่อแม่สุภาพ คำแหล้ ผู้เป็นแม่บ้านที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของสามีกลับคืนสู่ผืนดินที่เรียกว่าบ้าน ถูกตัดสินให้ไร้อิสรภาพและถูกจองจำอยู่ในเรือนจำภูเขียว นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 60 ภายหลังจากที่ศาลจังหวัดภูเขียวนัดอ่านพิพากษาศาลฎีกา มีคำสั่ง จำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ตามความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ

เมื่อครบกำหนดในวันที่ 6 ม.ค.2561 หลังได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นใจ แวดล้อมด้วยผู้คนอย่างหลากหลายจากเครือข่ายภาคประชาชนทั่วทุกภูมิภาคในนาม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ ) รวมทั้งองค์กรนักสิทธิมนุษยชน ประชาชนทั่วไป และนักศึกษา เดินทางมาต้อนรับขวัญแม่สุภาพ คำแหล้ คืนสู่อิสรภาพจากเรือนจำภูเขียว กลับคืนเฮือนจากเข้าร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ

สุภาพ คำแหล้ หรือแม่ภาพ อายุ 65 ปี ชาวบ้านชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เล่าว่า ตามกำหนดเจ้าหน้าที่เรือนจำ จะปล่อยตัวเวลาประมาณ 10.00 น.เพราะหลังจากตื่นนอนในช่วงเช้านักโทษทุกคนจะต้องทำกิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระ ออกกำลังกาย อาบน้ำ จากนั้น 08.00 น.เข้าแถวยืนตรงร้องเพลงชาติ และกินข้าว แต่ในวันที่จะได้รับอิสรภาพ เจ้าหน้าที่เรือนจำเร่งปล่อยให้แม่ออกมาก่อนกำหนด คือก่อนช่วงเวลาประมาณ 07.00 น โดยที่แม่ภาพไม่ทันเตรียมตัว ข้าวก็ไม่ได้กิน และที่สำคัญคือ ยังไม่ได้กล่าวลาเพื่อนๆ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเลย

แม่ภาพเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มปนกับเสียงหัวเราะ ด้วยว่า สงสัยเจ้าหน้าที่คงกลัวว่าจะมีนักข่าว และผู้คนที่จะทยอยมาต้อนรับแม่กันมากมายกว่านี้ ถึงแม้จะถูกปล่อยออกมาก่อนเวลา แต่ภาพที่เห็นคือมีความรู้สึกดีใจอย่างเป็นสุขและอบอุ่นยิ่งนัก ที่มีพี่น้องมารอต้อนรับให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

แม่สุภาพ ถือเป็นบุคคลตัวอย่างของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิง ที่เรียกร้องในสิทธิที่ดินและการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน นอกจากนี้ก็ต้องลุกขึ้นมาเป็นผู้หญิงแถวหน้า เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับสามีที่สูญหายตัวไป สำหรับบ้านหลังน้อยที่ถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าใหญ่ ไม่มีทั้งน้ำประปาและไฟฟ้า ไร้แม้แต่เงาของผู้เป็นสามีที่เคยเคียงข้างกันมาเกือบสี่สิบปี ขณะที่ปัญหาข้อิพาทเรื่องที่ดินก็ยังไม่สิ้นสุด แม่ภาพบอกว่าเมื่อความยุติธรรมยังไม่ปรากฏชัด ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อความมั่นคงในผืนดินร่วมกับสมาชิกชุมชนโคกยาวต่อไปอย่างไม่ยอมถอย

สำหรับการที่ทางเรือนจำปล่อยตัวแม่ภาพออกมาก่อนกำหนดเวลานั้น ส่งผลให้หลายคนตั้งใจมาต้อนรับมอบกำลังใจ ต้องพบกับความว่างเปล่า เช่นเดียวกับ อลงกรณ์ อรรคแสง อาจารย์ประจำวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลับมหาสารคาม (มมส.) เล่าว่า ในคืนวันที่ 5 มกราคม 2561 ได้เดินทางออกจากจังหวัดมหาสารคาม มาเช่าห้องพักนอนอยู่แถวตัวเมืองอำเภอภูเขียว เพื่อเช้าอีกวันจะไปรับขวัญแม่ภาพ ตามกำหนดการเดิมบอกปล่อยตัว 10.00 น. ปรากฏว่าไปถึงเรือนจำภูเขียวในเวลาดังกล่าว กับพบแต่ความว่างเปล่า เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่แจ้งว่าปล่อยตั้งแต่ 07.00 น.และกลับไปกันหมดแล้ว จึงต้องตามไปแสดงความยินดีที่วัดตาดฟ้าดงสะคร่าน อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น ที่ทางเครือข่ายภาคประชาชนนัดหมายรวมตัวไปที่วัดดังกล่าว เพื่อจัดทำพิธีรับขวัญแม่ภาพ

ด้านอนุสรณ์ พัฒนศานติ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (มรภ.ชัยภูมิ) ผู้มารอต้อนรับแม่ภาพ กล่าวถึงความรู้สึกว่า เคยลงพื้นที่เพื่อทำวิจัยประเด็นปัญหาที่ดินจังหวัดชัยภูมิ มีโอกาสพูดคุยกับพ่อเด่น สองสามครั้งก่อนที่พ่อเด่นจะหายตัวไป ส่วนแม่ภาพมีโอกาสได้พูดคุยไม่มากนัก แต่ได้พบปะบ่อยครั้งช่วงที่มีงานสัมมนาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน รวมทั้งได้มาร่วมงานรำลึกครบรอบการหายตัว 1 ปี ของพ่อเด่น เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 ณ วัดทุ่งลุยลาย

“รู้สึกมีความผูกพันมานาน จนกระทั่งต่อมาแม่ภาพถูกคำสั่งศาลฎีกาต้องโทษจำคุก 6 เดือน เมื่อถึงกำหนดการปล่อยตัวจึงตั้งใจมาต้อนรับและมอบกำลังใจให้ เพราะรู้สึกว่าคนเราทำไมชีวิตถูกกระทำซ้ำเติมถึงขนาดนี้ เพราะช่วงที่ไปเห็นชุมชนโคกยาว สภาพที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินก็เพียงนิดเดียว อีกทั้งตัวบ้านก็เป็นแบบตอกสังกะสีล้อมพอบังลม ที่ดินแค่ไม่ถึง 2 งาน พอปลูกถั่ว ปลูกผักแบบพอเลี้ยงชีพวันต่อวัน แล้วต้องมาถูกจำคุก จึงคิดว่ามันเกินไปสำหรับชีวิตคนจนที่มาถูกกระทำแบบนี้” อนุสรณ์ เผยความรู้สึก ทิ้งท้าย

กรณีของแม่สุภาพ คำแหล้ เป็นเพียงหนึ่งในปัญหาข้อพิพาทที่ดิน ระหว่างรัฐกับประชาชน ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมที่เป็นภัยคุกคามความเป็นธรรม ที่ประชาชนได้รับจากการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ถูกต้อง อาทิเช่น การประกาศเขตป่าต่างๆ ทับที่ทำกินที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และการปลูกสร้างสวนป่าทับที่ทำกินชาวบ้าน หรือการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เพื่อผลักดันให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ แต่เมื่อชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องสิทธิ ผลการเรียกร้องโดยส่วนมากกลับต้องเผชิญอุปสรรคและการถูกข่มขู่ คุกคาม ทั้งความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ จึงไม่พ้นที่จะถูกจับกุม และถูกดำเนินคดี เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องต่อสู้คดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น ยันถึงฎีกา ท้ายที่สุดถูกกำจัดอิสรภาพอยู่ในเรือนจำ เหล่านี้คือวงจรเดิมที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นซ้ำซาก เพราะการไม่ให้ความร่วมมือของหน่วยงานรัฐในการแก้ปัญหาทางนโยบาย

เพราะฉะนั้น รัฐควรมีหน้าที่ในการช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ไม่ใช่เป็นฝ่ายที่สร้างปัญหาให้กับประชาชน ส่งผลให้ชาวบ้านต้องเผชิญอุปสรรคและการถูกข่มขู่ คุกคาม ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการถูกดำเนินคดีและถูกจองจำจำกัดอิสรภาพ เพราะสิทธิที่ดินทำกินเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยขจัดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

ลำดับการถูกดำเนินคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังบุกเข้าควบคุมตัวชาวบ้านรวม 10 คน และแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม มีการแยกสำนวนฟ้อง ออกเป็น 4 คดี 10 ราย ดังนี้

คดีที่ 1 คำบาง กองทุย และสำเนียง กองทุย

คดีที่ 2 ทอง กุลหงส์ และสมปอง กุลหงส์ คดีที่ 3 สนาม จุลละนันท์ และคดีที่ 4 เด่น คำแหล้ สุภาพ คำแหล้ บุญมี วิยาโรจน์ หนูพิศ วิยาโรจน์ และเตี้ย ย่ำสันเทียะ

ส่วนคดีที่ 4 คือเด่น คำแหล้ และพวกรวม 5 คน ศาลจังหวัดภูเขียวนัดอ่านฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2556 โดยยืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 คือเด่น และสุภาพ จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และไม่ให้ประกันตัว เพราะเกรงว่าจะหลบหนี ส่วนอีก 3 ราย ศาลยกฟ้อง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 4 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 6 เดือน และศาลไม่อนุญาตฎีกา จำเลยทั้งสองต้องถูกคุมขัง

ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2556 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้ชุมนุมที่กรุงเทพฯ เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานภาครัฐ และร่วมเดินรณรงค์ไปยังศาลฎีกา พร้อมกับยื่นหนังสือขอให้ศาลฎีกาปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ประกอบกับช่วงดังกล่าวทนายความได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ซึ่งศาลอนุญาตในเวลาต่อมา และสามารถประกันตัวผู้ต้องหาได้ในที่สุด

ผลการยื่นประกันขอให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 1 และที่ 4 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา ปรากฏว่าศาลอนุมัติให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 2 โดยได้เพิ่มหลักทรัพย์จากรายละ 200,0000 บาท เป็นรายละ 300,000 บาท

ช่วงระหว่างสุภาพ คำแหล้ จะถูกตัดสินจำคุก เด่น คำแหล้ ซึ่งเป็นสามี ได้ถูกอุ้มหายในพื้นที่รอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว หลังจากเข้าไปหาหน่อไม้ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559

ด้านความคืบหน้าการติดตามหาตัวเด่น คำแหล้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์อยู่ในระหว่างผลการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ หลังจากพบวัตถุพยานล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2560 โดยทราบเบื้องต้นว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นของสามีผู้หายตัวไป เนื่องจากผลการตรวจสอบมีสายพันธุกรรมตรงกับน้องสาว ที่มีการนำไปตรวจเปรียบเทียบ

จนในกระทั่ง 27 กรกฎาคม 2560 ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา สุภาพ คำแหล้ อายุ 65 ปี

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net