Skip to main content
sharethis


ณัฏฐา มหัทธนา (กลางภาพ)

วันนี้ (8 ก.พ.) เป็นวันที่ ‘MBK39’ กลุ่มประชาชนและนักกิจกรรมผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจากกรณีการร่วมกิจกรรม "นัดรวมพล ประชาชนอยากเลือกตั้ง แสดงพลังต้านสืบทอดอำนาจ คสช.เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่สกายวอล์ก ปทุมวัน จะไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ปทุมวัน ตามหมายเรียก ฉบับที่ 2 ของตำรวจ ในจำนวนนี้ มี 9 คน ซึ่งถูกข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน รวมถึงกระทำผิดมาตรา 116 ‘ยุยงปลุกปั่น’ ตามประมวลกฎหมายอาญา

ณัฏฐา มหัทธนา เป็น 1 ในนั้น

คืนก่อนการเข้ารับฟังข้อกล่าวหา ประชาไทสัมภาษณ์ ‘ณัฏฐา’ เมื่อเธอเปิดเผยว่า หากศาลยกคำร้องคัดค้านการฝากขังของจำเลย จะ ‘ไม่ขอประกันตัว’ เนื่องจากเห็นว่า กระบวนการทั้งหมด ‘ไม่ปกติ’

 

การถูกตั้งข้อกล่าวหาครั้งนี้ผิดปกติอย่างไร?

การถูกตั้งข้อหา อัยการสั่งฟ้อง และต้องประกันตัว มันค่อนข้างเป็นกระบวนการปกติไปแล้วสำหรับคนที่โดนคดีในยุค คสช. แต่ในขั้นที่เรากำลังโดนยังไปไม่ถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำไป เป็นแค่ขั้นรายงานตัวยังไม่เริ่มกระบวนการสอบสวน ถ้าจะฝากขังไม่ให้ประกันตอนนี้ก็ค่อนข้างละเมิดชัดเจน

เราโดนข้อหาเหมือนคนอื่นคือผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 แล้วก็เพิ่มมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นด้วยซึ่งเพิ่มความร้ายแรงของคดี ปกติถ้าเราไปรายงานตัวตามหมายเรียก ก็ชัดเจนว่าไม่มีเจตนาหลบหนี พอไม่มีเจตนาหลบหนีก็ไม่มีเหตุให้ฝากขัง เขาก็จะขอสอบสวนซึ่งเราก็สามารถขอให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 20 วัน ก็พิมพ์ลายนิ้วมือแล้วแยกย้ายกลับบ้านได้ นี่เป็นแบบปกติ

แต่ถ้าไม่ปกติก็อาจมีเงื่อนไขอื่นที่ทำให้เกิดการฝากขังได้ เช่น ผู้ต้องหาพยายามหลบหนีหรือผู้ต้องหาอาจมีอิทธิพลไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้ เช่น คดียาเสพติด หรือผู้ต้องหาเป็นบุคคลอันตราย ซึ่งเราไม่เข้าเงื่อนไขข้อไหนเลย ถ้าเราถูกฝากขังจริง จะอธิบายกับสังคมยังไงว่าเราสมควรจะถูกฝากขัง และเรารู้สึกเหมือนถูกปล้นถ้าจะต้องจ่ายเงินประกันในขั้นตอนนี้ เพราะยังไม่ถึงขั้นตอนการสืบสวนด้วยซ้ำ เราก็จะปฏิเสธไม่ประกันตัว

เรารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกตามกฎหมาย เราศึกษาข้อกฎหมาย รู้ว่าเงื่อนไขอะไรบ้างจะฝากขังในขั้นตอนการรายงานตัวแบบนี้ได้ ทั้งที่เรามีเจตนามารายตัวตั้งแต่ครั้งแรก (2 ก.พ.) มารายงานตัวตรงเวลาทั้งที่เราได้หมายศาลไม่ถึง 24 ชม. แต่พอไปถึงทนายแจ้งเราว่าทางพนักงานสอบสวนบอกว่าถ้ารายงานตัววันนี้จะมีการขอฝากขัง แล้วเราต้องเตรียมเงินประกันตัว เตรียมเอกสารประกันตัวเยอะเหมือนกัน ทนายจึงแนะนำทั้งกลุ่มที่เตรียมไปรายงานตัววันนั้นว่าให้ใช้สิทธิขอเลื่อนการรายงานตัว เลยมีการทำหนังสือขอเลื่อนการรายงานตัวตรงหน้า สน.ตรงนั้นเลย แล้วทนายก็เอาไปยื่นกับตำรวจ อันนี้คือตามสิทธิปกติของผู้ต้องหาทุกอย่าง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือตำรวจไม่รับรู้การขอเลื่อนนี้ แล้วรอง ผบ.ตร.ศรีวราห์ เดินทางมาที่สน.ด้วยตัวเอง และไม่ได้คุยกับทนาย แต่เดินขึ้นห้องประชุมไป ทนายนั่งรออยู่ 4 ชั่วโมง เห็นความผิดปกติและคิดว่านั่งรอต่อไปไม่ได้อะไร ทนายจึงยื่นหนังสือขอเลื่อนการรายงานตัวของเรากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่ทนายจะเดินออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจยังฝากหมายเรียกครั้งที่ 2 มาให้เรา ซึ่งการออกหมายเรียกครั้งที่ 2 หมายความว่าเราไม่ได้มาตามหมายเรียกครั้งแรก และไม่มีการแจ้งบอกก่อน ก็จะเห็นชัดเจนว่ามันมีการละเมิดมาตั้งแต่ต้นทางแบบนี้ ซึ่งหมายเรียกครั้งที่ 2 ระบุให้เราไปรายงานตัวในวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เราระบุขอเลื่อนรายงานตัวไปในหมายเรียกครั้งแรก จึงเห็นชัดว่าเจตนาของเขาคือเผื่อครั้งที่ 2 เราเกิดเดินทางไปไม่ได้ หรือเราจะขอเลื่อนอีกแล้วเขาไม่ให้เลื่อน ก็จะเป็นเหตุให้เขาออกหมายจับได้ เจตนาเขาชัดเจนมาตลอดว่าอยากจะทำอะไรกับกลุ่มของพวกเรา

 

หากตำรวจขอฝากขังแล้วจะทำยังไง?

คาดว่าตำรวจจะขอฝากขัง เขาก็จะเอาเราไปที่ศาล ศาลจะถามเราว่าเราจะคัดค้านไหม เราก็จะบอกคัดค้าน พอคัดค้านศาลจะไต่สวนทั้งสองฝ่าย ดูเหตุผล แล้วศาลก็จะตัดสินว่าจะยกคำร้องของตำรวจหรือยกคำร้องของเรา สิทธิของเราก็คือขอประกันตัว ซึ่งเราก็จะไม่ขอประกันตัว

เพราะรู้สึกว่ามันถูกละเมิดไปแล้ว ถ้าเราขอประกันตัวก็เท่ากับเรายอมรับการที่เขาอนุมัติฝากขังเรา แต่ถ้าศาลยกคำร้องของตำรวจก็อาจแสดงให้เห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมในระบบปกติยังคงดำเนินอยู่

ถ้าเราต้องถูกฝากขังจริง อย่างน้อยสิ่งที่เราคาดหวังคือ สังคมก็ต้องแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระบวนการยุติธรรมมันเป็นยังไง ตามปกติต้องเป็นยังไง แล้วเราโดนอะไร จะเกิดการรับรู้ขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมันใจว่าเกิดขึ้นแน่ๆ สื่อมวลชนก็ต้องค้นหาแล้วเอามาเขียน ก็จะเกิดความรู้ เกิดปัญญาขึ้นในสังคม สิ่งที่เกิดกับเราก็คือเกิดกับสังคมนั้นแหละ เพราะมันคือกระบวนการยุติธรรมที่เราใช้ร่วมกัน ส่วนอะไรที่เกิดขึ้นอีกก็นอกเหนือการควบคุมของเราแล้ว ก็คงจะไม่คาดเดา
 

ไม่คิดว่าอยู่ข้างนอกจะทำอะไรได้มากกว่าอยู่ข้างใน?

ต้องถามว่าทำอะไร ในเมื่อตั้งแต่แรกของกระบวนการยุติธรรมเราโดนแบบนี้ แน่นอนว่าถ้ายื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวก็จะต้องเจออะไรที่ถูกละเมิดในขั้นต่อไป คือการขอประกันจะเป็นการรับประกันว่าเราจะถูกละเมิดในขั้นต่อไปแน่ๆ ตัวอย่างเช่น ตั้งเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการประกันตัว ไม่ให้เราทำนู่นทำนี่ทำนั่น ซึ่งไม่มีความสมเหตุสมผล เพราะตามกฎหมายผู้ต้องหาต้องถูกปฏิบัติเสมือนเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะยังไม่ได้ตัดสินว่าเราผิด ดังนั้นไม่ว่าเป็นการตั้งเงื่อนไขพิเศษกับเรา ไม่ว่าเป็นการเอาเงินประกันเราไป ไม่ว่าเป็นการฝากขังเราโดยมิชอบ ก็ล้วนแต่เป็นการลงโทษเราทั้งที่เรายังไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นเรื่องของการยืนยันหลักการล้วนๆ
 

บอกคนใกล้ชิด-ครอบครัวว่ายังไง?

ไม่ได้บอกในเชิงเทคนิคแบบนี้ ให้เขารับรู้แค่ว่ามีคดีแบบนี้เกิดขึ้น คดีค่อนข้างจะนอน-เซ้นส์ ประเทศปกติคดีร้ายแรงขนาดนี้เขาไม่มาตั้งข้อหากับแอคชั่นที่เราทำหรอก เพราะมันไม่ได้มีอะไรเป็นภัยต่อสังคม ก็จะเล่าให้เขาฟังตามข้อเท็จจริง เขาก็รู้ว่าคนโดนตั้งข้อหามันมีความเป็นไปได้ที่จะถูกขังคุกอยู่แล้ว แต่เราก็บอกเขาว่าเราประเมินว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากเราไม่ใช่ฝ่ายผิด แต่ก็บอกเขาว่าถ้าเกิดขึ้นก็จะเป็นแค่ชั่วคราวนะ ไม่นานหรอก ซึ่งกับลูกเราก็บอกแบบนี้ เขาก็ไม่กังวล มันอยู่ที่ท่าทีของเราด้วย ท่าทีของเราก็ไม่ได้แกล้งพูด เพราะเรารู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่เราจะมีอิสรภาพอยู่มันเยอะกว่าการถูกขังมากนัก เราเชื่อว่าศาลต้องมีวิจารณญาณที่เป็นปกติอยู่พอสมควร โดยเฉพาะช่วงต้นสุดของคดีแบบนี้ มันไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน หรือมีช่องทางที่บิดพลิ้วได้ ถ้าบิดพลิ้วก็เป็นเรื่องที่ชัดเจน ซึ่งจะตอบคำถามสังคมยังไง ประเมินแล้วว่าศาลจึงไม่น่าจะฝากขังเรา

 

กังวลหรือกลัวไหม?

ไม่เลย เราคิดในรายละเอียดแล้ว พอคิดในรายละเอียดแล้วไม่มีอะไรให้กังวล พูดง่ายๆ เราเชื่อมั่นว่ารองผบ.ตร.ศรีวราห์ไม่สามารถสั่งศาลได้ พอมันจับจุดตรงนี้ได้ มันก็ค่อนข้างมั่นใจมาก และนี่ไม่ใช่ศาลทหาร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะเราอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ ความเป็นไปได้ในทางร้ายก็ยังมีเหลืออยู่ แม้แต่ตำรวจก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เราพร้อมที่จะวัดใจเพราะเรารู้ว่ามันคุ้มที่จะวัด เราอยากรู้

 

หากต้องถูกฝากขังจริงๆ อยากบอกอะไร?

อยากบอกให้สังคมเวลาเจอเรื่องอะไรมากระทบ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย พยายามตั้งคำถามกับมันเพื่อให้ได้ความรู้จากสิ่งนั้น เช่น ถ้าเราถูกฝากขัง คุณรู้ว่าเราเป็นใครทำอะไรมาบ้าง ขณะที่เราเดินเข้าคุก คุณอาจมีคำถามว่าทำไม แล้วขั้นตอนมันเป็นยังไง นับจากวันนี้อยากให้สังคมนี้ขับเคลื่อนด้วยความรู้ นี่คือสิ่งหนึ่งที่พยายามทำมาตลอดในฐานะที่เป็นครูด้วย การต่อสู้ต้องขับเคลื่อนด้วยความรู้ แล้วมันจะเกิดภาพของการต่อสู้แบบใหม่ ทุกคนที่คุ้นชินกับภาพจำเดิมมักจะกลัวว่าพอมีความขัดแย้งปุ๊บ เดี๋ยวมันจะต้องจบด้วยการปะทะ การสูญเสีย จบด้วยเรื่องแย่ๆ แต่เมื่อไหร่ที่สังคมเราเปลี่ยนแนวทาง เป็นสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ มีรากฐานของปัญญาไม่ว่าจะทำอะไร พอขัดแย้งปุ๊บต้องมีการค้นหาเหตุผล แล้วคุยกันอย่างสังคมที่มีวุฒิภาวะ เพราะฉะนั้นความขัดแย้งนี้ไม่จำเป็นต้องจบด้วยภาพเดิม ด้วยความรุนแรง มันสามารถเป็นการต่อสู้ที่สร้างสรรค์มากกว่านั้นได้ อยากให้เราเปลี่ยนวัฒนธรรม ไม่ใช่เห็นข่าวอะไรปุ๊บตกใจ รีแอคด้วยอารมณ์อย่างเดียว แต่อยากให้หาความรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้อมูลรายละเอียดมันเป็นยังไง ใครทำถูกใครทำผิด เราจะรู้จากตรงนั้น เมื่อไหร่ที่เรามีความรู้ การขับเคลื่อนมันจะทั้งสงบ สันติ และมีพลัง อันนี้คือสิ่งที่เราต้องการและเราลงทุนในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ขึ้นมา เพราะมันต้องมีการตั้งคำถามแน่ๆ และต้องมีการหาคำตอบ

 

แล้วถ้าสังคมยิ่งเกิดความหวาดกลัว?

ถ้าสังคมเราจะมีศักยภาพแค่นั้นมันก็ช่วยไม่ได้ มันก็ไม่ได้เสียอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่เลย เพราะทุกวันนี้สังคมเราก็อยู่ในความหวาดกลัวอยู่แบบนี้ มันต้องมีสักเหตุการณ์หนึ่งที่กระตุกได้ และทำให้คุณรู้สึกได้ว่ามันไม่โอเค แล้วคุณอยากจะลงมือเปลี่ยนมัน ไม่งั้นก็กลัวไปอย่างสะเปะสะปะอย่างที่เป็นมาตลอด ถูกขู่ก็กลัว ก็จะเห็นว่าเราก็ถูกขู่ เราถูกขู่ออกสื่อด้วยซ้ำไป โดยรองผบ.ตร.คนนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่กลัว ก็เพราะเราถูกขู่ปุ๊บ เราไปหาความรู้ พอเราไปหาความรู้เราก็รู้แล้วว่าคนที่จะจบด้วยปัญหาไม่น่าใช่เรา ทุกอย่างที่เขาทำกับเราแล้วมันมิชอบ เราเตรียมฟ้องกลับหมด และถ้าตามเรื่องนี้ทุกคนก็จะเข้าใจ คุ้นเคยกับกระบวนการตามกฎหมาย และรู้สิทธิของตัวเอง



 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net