รัฐประหารและตำแหน่งแห่งที่ในการเมืองไทย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ถ้าเกิดรัฐประหารในเร็ววันนี้ถือว่าเป็นรัฐประหารครั้งที่ 3 ในรอบ 14 ปี ถือว่าบ่อยมากจนน่าจะเป็นสถิติโลกอันน่าอับอาย อันสะท้อนถึงการเมืองระบบรัฐสภาที่อ่อนแออย่างยิ่ง อันสะท้อนถึงการเป็นรัฐล้มเหลว หรือ Failed State ในรูปแบบหนึ่งนั่นคือโครงสร้างและสถาบันทางการเมืองขาดพัฒนาการ ตรงนี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญของความล้มเหลวในเรื่องอื่นเช่นผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจมักขาดความสามารถในการบริหารประเทศและนโยบายระดับประเทศยังขาดความต่อเนื่องจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอย นอกจากนี้ประเทศไทยยังถูกซ้ำเติมโดยการคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกกับชุมชนโลกและความไม่ไว้ใจของนักลงทุนต่างชาติซึ่งเคยมีต่อความไร้เสถียรภาพของการเมืองไทยมานานแล้ว ซ้ำร้ายเศรษฐกิจประเทศยังย่ำแย่อยู่แล้วจากพิษของโควิด -19 อาจทำให้พวกเราพบว่าแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ก็คือแสงจากรถไฟที่กำลังพุ่งมาหาเรานั้นเอง (ชิเช็คได้กล่าวไว้)

การยึดอำนาจย่อมอาศัยข้ออ้างอัน (พยายามทำให้) น่าฟังหลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือข้ออ้างที่ว่ารัฐบาลอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพ แต่เป็นไปได้ว่ากลุ่มทหารจะพยายามเลี่ยงในการโทษนายกรัฐมนตรีคือประยุทธ์ เพราะหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อจากการที่คนมองว่าประยุทธ์กับกองทัพคือพวกเดียวกัน แต่จะอ้างไปถึงแพะรับบาปนั่นคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ภายใต้คำแบบลอยๆ ว่า "นักการเมือง") อันเป็นเรื่องที่ไม่เกินคาดเดาเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกร่างมาโดยความตั้งใจเพื่อให้พรรคการเมืองมีความอ่อนแอทำให้คนเสื่อมความศรัทธาต่อระบบรัฐสภาเช่นเห็นว่าได้ ส.ส.อย่างนายเต้และปารีณา ทั้งที่ความจริงก็ไม่สามารถบอกคุณสมบัติของ ส.ส.ได้ทั้งหมดแต่สื่อจะนำเสนอคนเหล่านี้บ่อยครั้งอันเป็นการตีตรา ส.ส.ไปโดยปริยาย

ส่วนฝ่ายค้านก็ขาดเอกภาพในการตอกลิ่มรัฐบาลและถึงแม้ฝ่ายค้านบางส่วนจะพยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดแม้จะถูกเตะตัดขาหรือเล่นงานจากทุกด้าน แต่จากการที่ผมอ่านบางคอมเมนต์ทำให้รู้ว่าคนจำนวนหนึ่งยังไม่รู้เลยว่าหน้าที่ของสส.ฝ่ายค้านคืออะไรเช่นโจมตีว่าสส.ฝ่ายค้านไม่ได้ช่วยบ้านเมืองเลยโดยลืมไปว่าหน้าที่ของสส.ฝ่ายค้านคือตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นหลักตามแบบของการถ่วงดุลอำนาจของประชาธิปไตย 

 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่ารัฐประหารเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง ถึงแม้กองทัพจะออกมาปฏิเสธอย่างต่อเนื่องก็ตามเพราะนอกจากการที่กองทัพขาดความน่าเชื่อถือเช่นโกหกเรื่องรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้ว ด้วยรัฐบาลเป็นหนึ่งเดียวกับกองทัพ จึงปล่อยให้กองทัพมีอิสระและอิทธิพลอย่างสูงจึงสามารถกำหนดความเป็นความตายของประเทศได้อาจจะยิ่งกว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมาและการสนับสนุนของมวลชนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่ารัฐประหารคือทางออกที่ดีที่สุดเพื่อรัฐจะได้ปกครองประเทศด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือนเกาหลีเหนือ โดยลืมไปว่าเกาหลีเหนือนั้นปัจจุบันเป็นอย่างไร และผมก็ไม่เชื่อว่าชนชั้นนำไทยจะมีกึ๋นเหมือนเผด็จการแบบพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ถ้าเกิดรัฐประหารแล้วต้องมาดูว่าประยุทธ์จะอยู่ในสถานะไหน หากทหารที่ยึดอำนาจให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิมแม้จะในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการก็พอจัดได้ว่าเป็นการทำรัฐประหารตัวเองหรือ self-coup หรือถ้าประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก เช่นถูกบีบให้ยุติบทบาททางการเมืองเพราะชนชั้นนำด้วยกันเห็นว่าประเทศจะพังก็เป็นรัฐประหารอีกแบบคือพวกเดียวกันเล่นงานกันเอง อันเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดเพราะหากเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่เป็นพลเรือนที่เปี่ยมด้วยความสามารถและบารมีหรือความน่าเชื่อถือจะทำให้การทำรัฐประหารมีความถูกต้องชอบธรรมมากขึ้นเพราะจะไม่ถูกมองว่าช่วยสานต่ออำนาจให้กับประยุทธ์

การมีผู้นำใหม่แถมยังทำให้ไทยสามารถตกลงกับต่างชาติได้ดีขึ้นหลังทำรัฐประหารเหมือนกับยึดอำนาจในปี 2500 ที่คณะปฏิวัติเลือกนายพจน์ สารสิน หรือปี 2534 ที่รสช.เลือกนายอานันท์ ปันยารชุน (ทำให้นึกถึงคำรำพึงของอดีตประธานสภาอย่างนายอาทิพย์ อุไรรัตน์เมื่อวานนี้ที่อยากให้นายอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก ทั้งที่ไม่ดูสังขารของนายอานันท์ในวัยเกือบ 90 เลย) กระนั้นการได้นายกรัฐมนตรีใหม่นี้อาจเกิดขึ้นได้ยากเพราะประยุทธ์และประวิตรยังมีอำนาจที่สามารถต่อรองกับชนชั้นนำได้ ดังเมื่อหลายเดือนก่อนมีข่าวลือว่ามีความพยายามเอานายกรัฐมนตรีคนนอกมาแทนประยุทธ์ แต่แล้วเรื่องก็เงียบไป 

ที่กองทัพต้องการยึดอำนาจคือปรารถนาการเมืองที่มีเสถียรภาพคือต้องการหมุนนาฬิกากลับไปก่อนเลือกตั้งปี 2562 เพราะพวกเขาและชนชั้นนำเห็นว่าการชะงักงันทางการเมืองทางการเมืองในปัจจุุบันแสดงว่าการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 เริ่มจะ "เสียของ" อีกรอบ วัตถุประสงค์คือฉีกรัฐธรรมนูญที่พวกตัวเองร่างเองและโกงประชามติเองกับมือ โดยเอารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่มอบอำนาจแบบ ม.44 ให้นายกฯ ในการใช้อำนาจอย่างไร้ขีดจำกัด เช่นยุบสภา จากนั้นสภาที่ตั้งโดยกองทัพภายใต้อะไรสักชื่อ ก็แช่แข็งสภาโดยการเล่นงานพรรคฝ่ายค้านชนิดไม่ได้ผุดได้เกิด อาจเหมือนกับที่นายฮุนเซ็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาจัดการกับพรรคสังเคราะห์ชาติ แล้วสภาทหารซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเนติบริกรคนเดิมๆ ก็ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่สมาชิกเต็มไปด้วยพวกตัวเองเหมือนเดิม (หรือจะมีแม่น้ำ 5 สายเวอร์ชั่น 2.0 ขึ้นมาก็ต้องรอดูต่อไป) มาแทนเพื่อออกกฎหมายจำนวนมากที่จะเอื้อประโยชน์ต่อตัวเองเหมือนหลายปีก่อน

และที่สำคัญจะมีการจับกุมประชาชนและนักศึกษาที่ประท้วงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนๆ ที่ผ่านมาครั้งใหญ่ ก่อนจะนำไปปรับทัศนคติที่เข้มข้นและรุนแรงกว่าครั้งแรกเมื่อหลายปีที่แล้วโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำเพื่อเป็นการข่มขวัญมวลชน และคนพวกนี้ยังถูกตีตรากล่าวหาว่าเป็นพวกล้มเจ้า อันทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่ใส่ใจต่อชะตากรรมของพวกเขา อาจเป็นเหมือนกับที่จีนจับชาวอุยกูร์เป็นล้านๆ เข้าค่ายกักกันเพื่อล้างสมอง

ที่สำคัญสภาทหารและรัฐบาลรักษาการ (ซึ่งอาจพยายามปกครองประเทศไปเป็นทศวรรษหรือมากกว่านั้นเหมือนกับยุคสฤษดิ์และถนอม) จะพยายามใช้อำนาจเด็ดขาดของตัวเองในการจำกัดเสรีภาพของการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเช่นเอา Single Gateway อีกรอบหรือ Great Firewall แบบจีนโดยไม่สนใจการประท้วงของมวลชนอีกต่อไป เพราะเห็นว่าเสรีภาพของอินเทอร์เน็ตได้บั่นทอนความถูกต้องชอบธรรมของชนชั้นนำไปอย่างยิ่งยวด

ไม่ว่าจะเป็นฉากหรือ scenario ใดก็ตาม การทำรัฐประหารย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแต่ดูเหมือนชนชั้นนำจะพยายามอย่างยิ่งยวดคือผลประโยชน์ของตนนั้นจะต้องได้รับผลประทบน้อยที่สุด แต่คนที่เดือดร้อนคือประชาชนทั้งประเทศที่แม้แต่จะยืนอยู่ข้างเดียวหรือให้การสนับสนุนกองทัพและชนชั้นนำก็ตาม

ดังนั้นพวกเราก็คิดดูเอาก็แล้วกัน ถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นมาจริงๆ พวกเราจะต้องทำอย่างไร

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท