Skip to main content
sharethis


 




การเมือง


รัฐบาลยอมถอนแผนที่แนบท้ายของกก.ปักปันเขตแดน


รัฐบาลยอมถอนแผนที่แนบท้ายของกก.ปักปันเขตแดน หลัง "อภิสิทธิ์" อภิปรายแย้ง ระบุ กรณีพิพาทเกิดจาก "แถลงการณ์ร่วม" แนะ รัฐ ทวงบุญคุณไทยช่วยเหลือเขมร ตอบโต้หลังออกข่าวทั่วโลกสร้างความเสียหายให้ไทย พร้อมยันให้เคลียร์ปัญหาก่อนขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก


 


การประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อพิจารณากรอบการเจรจาปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาและการปักปันเขตแดน บรรยากาศในการประชุมลับเป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดยทั้งส.ว.และฝ่ายค้านต่างรุมโจมตีแนวทางการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาล


 


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอต่อที่ประชุมให้ถอนแผนที่แนบท้ายที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีน ตามอนุสัญญาฉบับปี 1904 และเสนอให้การเจรจายึดตามบันทึกข้อตกลง พ.ศ. 2543 โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ต่างประเทศ ก็ได้ยอมถอนแผนที่แนบท้ายออก โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ


 


นายอภิสิทธิ์ ยังระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากความพยายามจัดทำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาทำให้เกิดปัญหาคาราคาซัง โดยปัญหาทั้งหมดเป็นเพราะฝ่ายบริหารไปดำเนินการเรื่องแถลงการณ์ร่วมเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ปรึกษาสภาทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมา จึงเสนอว่าในการเจรจาควรยึดหลักว่ากรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกยังมีความเห็นแตกต่างกัน ดังนั้น ในการเจรจารัฐบาลต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ของประเทศกับการปกป้องอดีตรัฐมนตรี


 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า หลักของการเจรจาต้องยึดหลักที่ประเทศไทยจะต้องไม่เสียเปรียบกัมพูชา โดยที่ผ่านมารัฐบาลกัมพูชามีการดำเนินการเชิงรุกมากกว่าไทย ข่าวต่างๆ ที่ออกสู่สายตาประชาคมโลกก็ออกจากกัมพูชาเป็นหลัก ดังนั้น ไทยต้องรู้จักพูดถึงสิ่งที่เราให้ความช่วยเหลือกัมพูชาบ้าง ซึ่งเราก็ยังเห็นด้วยที่ต้องช่วยเหลือในฐานะประเทศเพื่อนบ้านต่อไป ส่วนกรณีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกควรยืนกรานว่าหากยังมีความขัดแย้งเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนไม่ควรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไม่เช่นนั้นมรดกโลกจะกลายเป็นมรดกเลือด ส่วนกรณีการจัดทำหลักเขตแดนขอให้รัฐบาลยืนยันว่า การดำเนินการจัดทำหลักเขตแดนขอให้ยึดพื้นที่ก่อนปี 2543 ซึ่งมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงไว้ เนื่องจากหลังปี 2543 ได้มีการตั้งบ้านเรือนของประชาชนเพิ่มขึ้นทำให้สภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไป


 


ด้านนายสมพงษ์ ชี้แจงว่า ท่าทีของกัมพูชาเมื่อมาเจรจากับไทยแล้วก็จะมีท่าทียอมรับข้อเสนอของไทย แต่พอกลับไปยังประเทศตัวเองกลับมีท่าทีแข็งกร้าว แต่ทางรัฐบาลก็จะพยายามเจรจาโดยยึดหลักของผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก


 


ที่มา: http://www.komchadluek.com


 


รัฐบาลไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.หนังสือสัญญาที่กระทบอธิปไตย ดินแดน การค้า การลงทุน ต้องให้ ครม.เห็นชอบ ทำประชาพิจารณ์ เข้าสภา


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมครม. ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ จะเสนอ เรื่อง ร่างพ.ร.บ.ขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา พ.ศ... เพื่อให้ ครม. เห็นชอบ ร่างดังกล่าวตาม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้วและให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป


 


ทั้งสำหรับ สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.มีดังนี้ 1. กำหนดนิยามคำว่า "หนังสือสัญญา" หมายความว่า ความตกลงเป็นหนังสือระหว่างรัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลต่างประเทศ รัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกว่าอย่างไร (ร่างมาตรา 3) และ 2. กำหนดให้การจัดทำหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอันได้แก่หนังสือสัญญาดังต่อไปนี้ ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.นี้


 


2.1 หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือ เขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ 2.2 หนังสือสัญญาที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา 2.3 หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ 2.4 หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง และ 2.5 หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ


 


ทั้งนี้ ไม่รวมถึงหนังสือสัญญากู้เงินหรือค้ำประกันเงินกู้ที่รัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทยทำขึ้นตามกฎหมายที่ให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะหรือเป็นการทั่วไป เพราะเป็นกรณีที่มีกฎหมายให้อำนาจดำเนินการเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว


 


3. กำหนดขั้นตอน วิธีการ และหลักเกณฑ์ในการจัดทำหนังสือสัญญาอื่นที่มิใช่หนังสือสัญญาตามมาตรา 4 ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา (ร่างมาตรา 5)


 


4. ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐที่มิได้รับมอบอำนาจจาก ครม. ทำความตกลงกับรัฐบาลต่างประเทศ รัฐต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ ให้มีผลเช่นเดียวกับหนังสือสัญญาตามมาตรา 4 (ร่างมาตรา 6)


 


5. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการจัดทำกรอบการเจรจาเสนอต่อ คณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการเจรจา การเผยแพร่กรอบการเจรจาให้ประชาชนทราบโดยทั่วไป และ รับฟังความคิดเห็นของประชาชน การจัดให้มีการศึกษาวิจัยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและแนวทางป้องกันแก้ไขดังกล่าว ตลอดจนการเจรจาเพื่อจัดทำหนังสือสัญญา (ร่างมาตรา 7 ถึงร่างมาตรา 14)


 


6. กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องเสนอหนังสือสัญญาต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็ฯชอบก่อนการลงนามกรณีที่หนังสือสัญญามีผลใช้บังคับเมื่อมีการลงนามโดยไม่ต้องแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันในภายหลัง และในกรณีมีหนังสือสัญญาที่มีผลใช้บังคับเมื่อมีการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี เสนอหนังสือสัญญานั้นต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ โดยการเสนอหนังสือสัญญาต่อรัฐสภา นี้ให้คณะรัฐมนตรี เผยแพร่รายละเอียด ของหนังสือสัญญาให้ประชาชนทราบตามวิธีการที่กำหนด (ร่างมาตรา 5)


 


7. กำหนดหลักเกณฑ์การเผยแพร่หนังสือสัญญาที่มีผลใช้บังคับการจัดให้มีการศึกษาผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญา รวมทั้งมาตรการแก้ไขหรือการเยียวยาผลกระทบดังกล่าว ตลอดจนการจัดให้มีฐานข้อมูลหนังสือสัญญาเพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือสัญญาฯ (ร่างมาตรา 16 ถึงมาตรา 18)


 


8. กำหนดเฉพาะกาลให้การดำเนินการเพื่อจัดทำหนังสือสัญญาใดทีรัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทย ยังมิได้แสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน ให้ดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ.นี้ และให้ถือว่าการดำเนินการที่ได้ทำไปแล้วเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.นี้แล้ว (ร่างมาตรา 19)


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


ครม.อนุมัติเงิน56ล.ชดเชยเหยื่อ 7 ตุลา


เมื่อเวลา 16.30 น. นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมครม.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้อนุมัติงบประมาณ 56 ล้านบาทเพื่อใช้ชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบวันที่ 7 ต.ค.และเหตุการณ์เกี่ยวเนื่อง โดยจำนวนเงินที่จะใช้ชดเชยครอบคลุมตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 29 ส.ค. 2 ก.ย. และ 7 ต.ค. โดยแยกชดเชยดังนี้ คือ ผู้เสียชีวิตนั้น รัฐบาลจะชดเชยให้รายละ 4แสนบาท และในส่วนที่บาดเจ็บ ต้องเข้ารักษาตัวเกิน 20 วันจะชดเชยรายละ 1 แสนบาท ส่วนผู้บาดเจ็บแต่ไม่ต้องพักรักษาตัว จะชดเชยรายละ 2 หมื่นบาท ในกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการฟื้นฟูจะชดเชยให้อีก 2 แสนบาท รวมถึงจะช่วยเหลือบุตรหลานของผู้พิการทุพพลภาพ เป็นรายเดือนๆ ละ 1,000-3,000 บาท


 


ส่วนการช่วยเหลือด้านการศึกษาให้กับบุตรหลานของผู้สียชีวิตนั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ช่วยเหลือจนจบการศึกษา จนถึงระดับปริญญาตรีเป็นรายเดือนๆ ละ 1,000-1,500 บาท โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันและจะมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


 


ที่มา: http://www.komchadluek.com


 


มหาจำลอง ออกโรงค้านนำเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (28 ต.ค.) ว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นำจดหมายเปิดผนึกถึงนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เพื่อคัดค้านการนำหุ้น บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่รู้จักกันในนาม "เบียร์ช้าง" เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เป็นธุรกิจน้ำเมา เป็นอบายมุขและมิจฉาชีวะ จึงขอให้เลิกความคิดดังกล่าว


 


ที่มา: www.thairath.co.th


 


'นัที'นั่งปลัดสำนักนายกฯ 'วัน-กึ้ง'รองเลขานายกฯ


นางสาววีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (28 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งนายนัที เปรมรัศมี รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายจาดุร อภิชาตบุตร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ และนายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี


 


รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ที่ประชุมครม.ยังเห็นชอบให้นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายชาตรี โชไชย รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ไปเป็นผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม และนายธวัชชัย ไทยเขียว รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน


 


นางสาววีรินทร์ทิรา กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมครม.ยังเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ประกอบด้วย นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายวัน อยู่บำรุง เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ช่วยราชการนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ช่วยงานนายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายมานะ คงวุฒิปัญญา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และให้นายเฉลิมชัย จีนะวิจารณะ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


 


ที่มา: www.thairath.co.th


 


ตร.ปัดเสนอถอดยศ'ทักษิณ' ยันคดียังไม่ถึงที่สุด-สู้ต่อได้


พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าววันนี้ (28 ต.ค.) กรณีสำนักข่าวหลายสำนักรายงานการเสนอถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ว่า กรณีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังสามารถต่อสู้คดีในชั้นฎีกาได้ จึงยังไม่เข้าข่ายว่าด้วยระบียบการถอดยศข้าราชการตำรวจที่กระทำความผิดและต้องคำพิพากษาให้จำคุก หากคดีถึงที่สุดแล้ว กองวินัยจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ขอพระราชทานถอดยศ ขณะนี้ยังถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถใช้ยศ พ.ต.ท. นำหน้าชื่อได้


 


โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวปฏิเสธกรณีมีการระบุว่า มีการสั่งปลด พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกจากตำแหน่งหลังถูก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ห้ามให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ต.ค. โดยกล่าวว่า พล.ต.ต.สุรพล และ พล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก ได้รับการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จึงไม่มีเวลามาทำหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีคำสั่งตั้ง พล.ต.ต.วรเทพ เมธาวัธน์ รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มอีก 1 คน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์เผยแพร่การปฏิบัติหน้าที่ราชการในภาพรวมขององค์กรเป็นไปด้วยความรวดเร็วต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ


 


ที่มา: www.thairath.co.th


 


เครือข่ายสานเสวนาให้กำลังใจ'สุเมธ' ชวนผู้กล้าร่วมปกป้อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ต.ค.) ที่ห้องประชุมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการประชุมคณะทำงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม เพื่อติดตามประเมินผลการจัดกิจกรรมประชุมใหญ่เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรมเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2551 ที่ผ่านมา


 


ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ก่อนการประชุมมีการหารือกรณีเครือข่ายได้เรียนเชิญ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มาเป็นผู้กล่าวปาฐกถานำในการประชุมใหญ่ดังกล่าว เพื่อให้สติและข้อคิดเห็นแก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่เห็นพ้องต้องกันว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ควรที่จะใช้วิธีการสานเสวนาระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อลดหรือยุติข้อขัดแย้งซึ่งอาจนำไปสู่การใช้กำลังที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากจะเยียวยาในระหว่างคนในชาติที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้จนเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่าย


 


นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อุปนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในฐานะคณะทำงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรมกล่าวว่า เครือข่ายใคร่ขอแสดงความเห็นใจและขอเป็นกำลังใจให้ นายสุเมธ ตันติเวชกุล พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้ผู้รักความเป็นธรรมและสันติ ได้ร่วมกันปกป้องผู้ที่กล้าหาญและหวังดีต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งมิได้ให้ร้ายหรือโจมตีใคร แต่ได้ให้ข้อคิดที่สร้างสรรค์ต่อทุกฝ่ายไม่ให้ถูกทำลายโดยไม่เป็นธรรมและไม่มีโอกาสปกป้องตนเอง หากสังคมและสื่อมวลชนไม่ปกป้องผู้ใหญ่ที่เสียสละและกล้าหาญเช่นนี้ ต่อไปจะไม่มีใครแสดงความเห็นที่ถูกต้องให้สังคมได้พิจารณาอีก


 


นายประสงค์กล่าวด้วยว่า แม้ว่าการดำเนินการของเครือข่ายได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากฝ่ายต่างๆ แต่เครือข่ายยังยืนยันที่จะรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรงต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า การเคลื่อนไหวของเครือข่ายย่อมมีผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง เชื่อว่า หากมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง คนในสังคมจะมีความเข้าใจและเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายมากยิ่งขึ้น


 


ที่มา: www.thairath.co.th


 


นปช.แจ้งจับการ์ดพธม.รุมตื้บ


เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 28 ตุลาคม นางนะนิตย์ นามนู อายุ 70 ปี นางสมบัติ ขยันชุมนุม อายุ 52 ปี นางสาวสุนันท์ มณีรัตน์ อายุ 53 ปี นางสาวระ ฝาชัยภูมิ อายุ 52 ปี และนายวิเชียร จรุงกิจ อายุ 67 ปี ได้แจ้งความกับ พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.ช่วยราชการ สน.นางเลิ้ง ว่าถูกการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างที่ขับรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ สีเทา ทะเบียน ยฉ 3230 กรุงเทพมหานคร เข้าไปที่บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าโรงเรียนราชวินิตมัธยม โดยทั้งหมดอยู่ในสภาพถูกทำร้ายร่างกาย


 


ทั้งนี้ นางนะนิตย์ ซึ่งสวมผ้าพันคอป้องกันประชาธิปไตยคนไทยกู้ชาติ ให้การว่า ได้ว่าจ้างรถกระบะคันดังกล่าว และรถแท็กซี่ 1 คัน เพื่อขนเครื่องเสียงจากสนามหลวงไปยังสถานีรถไฟสามเสน ในระหว่างนั้น ตนกับเพื่อนขึ้นนั่งรถแท็กซี่ อีกกลุ่มได้ขึ้นรถกระบะโดยขับตามกันมา กระทั่งมาทราบภายหลังว่า คนในรถกระบะได้ถูกการ์ดพันธมิตรสั่งให้จอด และบอกให้ทั้งหมดลงจากรถ ทำให้เพื่อนที่มาด้วยกันวิ่งหนี ส่วนคนขับรถแท็กซี่ได้รีบขับออกไป ทำให้ตนกับเพื่อนที่นั่งกระบะมาถูกการ์ดทำร้ายตบตี และควบคุมตัวไปข้างใน ระหว่างนั้นมีคนใช้ไม้กระบองตีตนที่หลังและข้อศอกซ้าย


 


"ฉันพยายามร้องให้คนช่วย แต่กลุ่มพันธมิตรไม่สนใจ แถมด่าว่า อีแก่ ร้องให้คนช่วยเหลือเหรอ ปากดีนักเหรอ ตอนนั้นรู้สึกกลัว ไม่คิดว่ารถจะหลงเข้ามาข้างใน ฉันมาเรียกร้องประชาธิปไตยที่สนามหลวงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่ ทำไมต้องทำคนแก่แบบนี้ด้วย ฉันเองเป็นแค่แม่ค้าขายเสื้อผ้าที่สนามหลวงเท่านั้น" นางนะนิตย์ กล่าว


 


นายวิเชียร คนขับรถกระบะ กล่าวว่า ได้รับการว่าจ้างให้ไปส่งที่สถานีรถไฟสามเสน ในราคา 300 บาท ก็ขับมาตามเส้นทาง ผ่านสนามม้านางเลิ้ง พอไฟเขียวได้เลี้ยวซ้ายผ่านโรงเรียนราชวินิตโดยไม่ทราบว่าปิดถนน จึงงุนงงไม่ทราบจะไปทางไหน กระทั่งหลุดเข้าไปข้างในและถูกควบคุมตัว นอกจากนี้ รถของตนยังถูกการ์ดพันธมิตรเอาไม้ทุบกระจกหน้าและกระจกข้างรถฝั่งซ้ายและขวาแตกละเอียด และการ์ดพันธมิตรยังดึงกุญแจรถไปและบังคับให้ลงจากรถ ก่อนถูกเตะและตบหน้า จากนั้นได้พาเข้าไปข้างในและถูกตบอีกครั้ง หากรู้ว่าเป็นแบบนี้คงไม่กล้าเข้ามา แต่ขับรถหลงเข้าไปจริงๆ


 


พ.ต.อ.วิบูลยุทธ กล่าวว่า เมื่อทราบว่ามีคนเห็นพันธมิตรควบคุมกลุ่ม นปช.เข้าไปด้านในถนน จึงตรวจสอบก็พบว่าเป็นจริง จึงได้รีบไปตรวจสอบ ก่อนจะนำตัวขึ้นรถตำรวจออกมา ส่วนสาเหตุเนื่องจากหลงเข้าไป ส่วนผู้บาดเจ็บได้ให้ปากคำและลงบันทึกประจำวันไว้ หากมีการแจ้งความก็จะติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีต่อไป


ที่มา: www.thairath.co.th



 






การศึกษา


กลุ่มโรงเรียนดังยันสอบ100%ยกคุณภาพ / สพฐ.แจงแบ่ง50:50ใน-นอกเขต


เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีที่นายศรีเมือง เจริญศิริ รมว.ศึกษาธิการ เสนอให้กำหนดนโยบายการรับนักเรียนชั้น ม.1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนไม่ควรเน้นสอบคัดเลือก 100% ว่า อาจเป็นการเข้าใจผิดเพราะการสอบ 100% จะเป็นการสอบคัดเลือกนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ 50% และสอบคัดเลือกนักเรียนทั่วไปอีก 50% ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงเรียนชื่อดัง ที่มีอัตราการแข่งขันสูงใช้วิธีการดังกล่าวได้ โดยปีที่ผ่านมามีโรงเรียนชื่อดังประมาณ 78 แห่ง ที่ใช้วิธีนี้ แต่จากการประเมินก็พบแนวโน้มว่าจำนวนโรงเรียนที่ใช้วิธีการสอบ 100% จะน้อยลง อย่างไรก็ดี โรงเรียนที่จะใช้วิธีการสอบคัดเลือกทั้งหมด ได้นั้น ต้องมีโรงเรียนคู่พัฒนา หรือโรงเรียนเครือข่าย เพื่อรองรับเด็กในพื้นที่ที่ไม่สามารถสอบเข้าเรียนได้ด้วย


 


"การสอบ 100% คือการสอบนักเรียนในเขต และนอกเขต ไม่ใช่สอบเปิดกว้างทั้งหมด ซึ่งตรงนี้เป็นการยกระดับมาตรฐานการศึกษา ว่าการจะเข้ามาเรียนต้องเตรียมตัวมีพื้นฐานความรู้ที่ดีถึงจะมาสอบแข่งขันได้ ทำให้เด็กแต่ละคนตระหนักว่าการเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีความสำคัญ"


 


รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า ขณะนี้ สพฐ.ได้จัดทำหลักเกณฑ์การรับนักเรียนเสร็จแล้ว เตรียมเสนอคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการ กพฐ.และ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาตามขั้นตอน


 


ด้านนายประกาศิต ยังคง ผอ.รร.เทพศิรินทร์ กล่าวว่าการสอบคัดเลือกนักเรียน จะเป็นผลดีในการเพิ่มคุณภาพด้านวิชาการของโรงเรียน เพราะเด็กต้องเตรียมตัวตั้งแต่ระดับประถมคึกษา แต่หากไม่มีการสอบคัดเลือก จะพบว่าผู้ปกครอง นักเรียนจะไม่ให้ความสำคัญและเข้มงวดในการเรียนการสอน อย่างไรก็ตามคิดว่า การสอบคัดเลือกควรจะใช้กับโรงเรียนที่มุ่งเน้นทางวิชาการ มากกว่าโรงเรียนทั่วไป


 


ขณะที่นายนพพล เหล่าโชติ ผอ.รร.มัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ กล่าวว่าเป็นเรื่องดีที่มีนโยบายที่ไม่เน้นให้โรงเรียนจัดสอบ 100% เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่ของโรงเรียน ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนั้นๆ และไม่ต้องเดินทางไกลไปเรียนไกลบ้าน ส่วนที่เกรงว่าหากไม่สอบ 100% จะทำให้โรงเรียนไม่มีคุณภาพนั้น ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะขึ้นอยู่กับวิธีการที่โรงเรียนจะดำเนินการมากกว่า


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






ต่างประเทศ


"ไทย"ปท.เสี่ยงสุดอันดับ2ในเอเชีย การเมืองภายในบวกวิกฤตเศรษฐกิจ


รอยเตอร์ - ประเทศไทยมีความเสี่ยงทางด้านการเมืองและสังคมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิกในปี 2009 รองลงมาจากอินเดียเท่านั้น สืบเนื่องจากปัญหาความไร้เสถียรภาพภายในเป็นปัจจัยหลัก ทั้งนี้เป็นการจัดอันดับของ บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ (เพิร์ก)


 


เพิร์ก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง ได้เผยรายงานการประเมินความเสี่ยงของประเทศในเอเชียแปซิฟิก 16 ประเทศ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความวุ่นวายทางการเมือง การคุกคามจากพวกนักกิจกรรมทางสังคม และความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล จากนั้นให้ค่าคะแนนการประเมินซึ่งมีช่วงตั้งแต่ 0-10 คะแนน โดยค่าคะแนนศูนย์แสดงถึงสถานการณ์ทางสังคม-การเมืองที่ดีเยี่ยม ส่วนค่าคะแนน 10 แสดงถึงสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด


 


ผลการประเมินปรากฏว่าอินเดียมีค่าคะแนนสูงสุดคือ 6.87 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านความมั่นคงและความไม่สงบในปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นยังมีความไม่มั่นใจต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปีหน้า อีกทั้งในระยะหลังก็ยังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและการถูกจู่โจมจากพวกก่อการร้ายบ่อยครั้งขึ้นด้วย


 


"อินเดีย ไทย และมาเลเซียไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลกมากนัก แต่ปัญหาความเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ" รอเบิร์ต แบรดฟุต กรรมการผู้จัดการของพีอีอาร์ซ๊ กล่าว


 


ทั้งนี้รายงานของพีอีอาร์ซีระบุด้วยว่า "สำหรับประเทศทั้งสามนี้ พายุเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะถล่มเข้ามาจะเข้าเสริมให้สถานการณ์เลวร้ายลงยิ่งขึ้น" อย่างไรก็ตาม "อินเดียยังเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุนอยู่ดี ไม่ว่าจะใครจะชนะการเลือกตั้งปีหน้าก็ตาม"


 


ส่วนไทยนั้นรั้งอันดับสองของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดในเอเชียในปี 2009 ด้วยค่าคะแนน 6.28 เนื่องจากปัญหาความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะส่งผลกระทบลากยาวไปถึงปี 2009 โดยจะกระทบต่อสถาบันหลักๆ ของประเทศด้วย


 


สำหรับมาเลเซียมีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับสามในภูมิภาคนี้ ก็เพราะการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองได้ซ้ำเติมความตึงเครียดในเรื่องเชื้อชาติและศาสนาให้รุนแรงยิ่งขึ้น ในรายงานยังระบุด้วยว่า "สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะได้เห็นการคัดค้านทางการเมืองที่รุนแรงกว่าในอดีต"


 


ส่วนประเทศในกลุ่มที่มีเสถียรภาพสูงสุดและมีความเสี่ยงทางการเมืองต่ำสุดในปีหน้าก็คือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลกก็ตาม


 


ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการณ์ทางการเงิน ก็กำลังอ่อนแอลงทั้งทางเศรษฐกิจและจิตวิทยา ขณะที่ศักยภาพทางด้านการเมืองและการทหารก็จะลดต่ำลงจากเดิม อีกทั้งจะมีความกระตือรือร้นกับการผลักดันแนวคิดต่างๆ ของตนในต่างประเทศน้อยลงตามไปด้วย โดยจะหันไปพึ่งพาพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลียมากขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับเอเชีย


 


ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอย่างจีนได้คะแนน 5.33 เนื่องจากรัฐบาลจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการรักษาระดับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไว้ พร้อมไปกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพื่อรับมือกับตลาดส่งออกที่จะอ่อนตัวลงในปีหน้า


 


ที่มา: ผู้จัดการรายวัน


 






สาธารณสุข


พบเมลามีน ใน "ช็อกโกแลตแท่ง ตรา Orphic"


นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า วันนี้ (28 ต.ค.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับผลการตรวจวิเคราะห์สารเมลามีนจำนวน 113 รายการ โดยมี 1 รายการ ที่พบการปนเปื้อนสารเมลามีน เป็นผลิตภัณฑ์ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) มุกดาหาร เก็บตัวอย่างส่งให้ อย.ตรวจสอบ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแท่ง ตรา Orphic บรรจุในกล่องกระดาษ สีทอง พิมพ์ลายที่ปิดสนิท พร้อมจำหน่าย ผลิตเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551 ปริมาณ 96 กรัม ไม่มีเครื่องหมาย อย. และเลขสารบบอาหาร ผลิตโดย บริษัท TIANJIN HEIJINGANG FOODSTUFF CO.,LTD นำเข้าจากประเทศจีน โดยพบสารเมลามีน 34.37 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งเกินเกณฑ์มาตรฐานที่ อย.กำหนด ให้พบได้ไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม


 


ทั้งนี้ อย. ประสานงานไปยัง สสจ.มุกดาหาร ให้ติดตามหาแหล่งจำหน่าย เพื่อไม่ให้มีการลักลอบจำหน่ายโดยเด็ดขาด รวมทั้งแจ้ง สสจ.ทุกจังหวัดให้ตรวจสอบ และเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่ให้มีการจำหน่ายในท้องตลาด


 


ที่มา: www.thairath.co.th


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net