Skip to main content
sharethis






การเมือง


เผยใช้ "ทหาร" คุ้มกันนายกฯ "สันติบาล" ระบุยังไม่ได้รับรายงาน "ณัฐวุฒิ" หยันมีจริงให้โชว์หลักฐาน


"สันติบาล"เผยยังไม่ได้รับรายงานกรณีฮัลโหลขู่นายกฯ เผยชุดคุ้มกันใช้ทหารดูแล "มาร์ค"ลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคราชบุรีหาเสียง 4 ม.ค. จะใช้ถึง 2 กองร้อยอารักขา รองนายกฯ ฝ่ายมั่นคงลั่นเช็คเบอร์มุ่งร้ายสั่งจัดการทันที ด้านแกนนำ"เสื้อแดง" หยันมีจริงให้โชว์หลักฐาน


เผยนายกฯใช้ทหารคุ้มกัน


พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กล่าวเมื่อวันที่ 3 มกราคม ถึงกรณีที่ข่าวปองร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการกรณีมีคนโทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ทำร้าย นายอภิสิทธิ์ ทราบจากข่าวเท่านั้น แต่ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อมูล สืบค้นต้นตอการข่มขู่นายกรัฐฯแล้ว แต่เนื่องจากขณะนี้นายกรัฐฯให้ชุดรักษาความปลอดภัยของทหาร ไม่ใช่ของสันติบาล ซึ่งตามปกติแล้วกรณีที่สันติบาลดูแลความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีหากมีการข่มขู่หรือมีเหตุต้องสงสัย และกระทบความปลอดภัย


ตร.ราชบุรี2กองร้อยดูแลนายกฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา  16.00 น. วันที่ 4 มกราคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีกำหนดเดินทางไปร่วมปราศรัยหาเสียงให้กับนายยศศักดิ์ ชีววิญญู ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หมายเลข 1 เขต 1 ราชบุรี พรรคปชป. ที่บริเวณวัดดอนตูม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยเขตนี้มีผู้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม 2 คน คือ นายยศศักดิ์ และนายเดชา ตุลาธาร ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคเพื่อไทย โดยพล.ต.ต.ชาญเทพ สีสะเวช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี ได้สั่งเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย ประมาณ 300 นาย เข้าดูแลและอารักขาความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรี


"สุเทพ" สั่งฟันคนโทร.ขู่นายกฯ


ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ ว่า ได้รับทราบข่าว นายอภิสิทธิ์ ถูกโทรศัพท์ขู่ทำร้ายแล้ว แต่นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้หวาดวิตกแต่อย่างใด และขณะนี้กำลังตรวจสอบกรณีมีโทรศัพท์ข่มขู่นายกฯ ว่า เป็นการดำเนินการในรูปแบบ กลุ่มขบวนการ หรือรายบุคคล หากพบจะดำเนินการทันที ส่วนจะเชื่อมโยงกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ ต้องรอผลการตรวจสอบ ทั้งนี้จะไม่เพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นายกรัฐมนตรี และไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์  เพราะเชื่อว่าการข่มขู่จะไม่เป็นปัญหา ต่อการทำงานของรัฐบาล และไม่ได้เป็นการเรียกคะแนนสงสาร และนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้วิตก และจะทำหน้าที่ต่อไปŽ นายสุเทพกล่าว


 


 


จี้ปชป.โชว์หลักฐานลอบทำร้าย


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุข้อมูลรายงานลับว่ามีคนคิดปองร้ายว่า ได้สอบถามไปยังแกนนำกลุ่มวิทยุชุมชนคนแท็กซี่แล้ว ทุกคนยืนยันว่าวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ไม่เคยเผยแพร่เบอร์โทรศัพท์นายอภิสิทธิ์ ออกอากาศตามที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์คนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ออกมาพูดผ่านสื่อ ที่สำคัญคือ วิทยุชุมชนคนแท็กซี่ได้ยุติการออกอากาศมาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม เพิ่งมาออกอากาศอีกครั้งในเช้าวันที่ 3 มกราคม การออกมาพูดของนายศิริโชค คล้ายกับเป็นการตีไพ่นำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาจัดการกับเครือข่ายเสื้อแดงในวันข้างหน้า ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ทั้งหลายที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้นำเอกสารมายืนยันว่าสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ นั้นเผยแพร่เบอร์โทรศัพท์นายอภิสิทธิ์ วันไหน เวลาเท่าไรและใครเป็นผู้จัดรายการ


ที่มา: มติชนออนไลน์


นายกฯชี้ซักฟอกนอกสภาไม่มีปัญหาลั่นไม่กังวลข่าวข่มขู่


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ "บอกข่าวเล่าเรื่อง" ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เช้านี้ โดยได้ฝากความห่วงใยถึงประชาชนคนไทยทุกคน ว่า หลายคนคงมีความทุกข์กับ 1 ปีที่ผ่านมา ในหลายๆเรื่อง ปี 2552 นี้ เราต้องมีความหวัง และต้องทำความหวังให้เป็นความจริง ตนเองและรัฐบาลมีหน้าที่ทำให้ดีที่สุด จะทำให้ความหวังของประชาชนเป็นความจริง


แต่รัฐบาลไม่สามารถทำความหวังของประชาชนให้เป็นความจริงได้โดยลำพัง ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนด้วย ถ้าทุกคนคิดดีต่อบ้านเมือง และก็ช่วยกันทำดีให้แก่บ้านเมือง มั่นใจว่าจะเปลี่ยนปีแห่งความขัดแย้ง ก้าวเข้าไปสู่ปีแห่งความหวัง และจะก้าวพ้นปัญหาต่างๆ ที่กำลังเจออยู่ในขณะนี้ได้ โดยตนเองขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน


นายกรัฐมนตรี ยังฝากไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ให้คิดถึงบ้านเมืองเนื่องจากบ้านเมืองและประเทศไทยน่าจะเดินไปข้างหน้าได้แล้ว ความขัดแย้งทั้งหลายในอดีตขอให้คลี่คลายกันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยเป็นอดีตผู้นำของประเทศ คงไม่อยากเห็นประเทศจมกับความขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น


นายกฯชี้ซักฟอกนอกสภาไม่มีปัญหาลั่นไม่กังวลข่าวข่มขู่


นายอภิสิทธิ์ กล่าวเปิดเผยหลังเดินทางกลับจากพักผ่อนส่วนตัวกับครอบครัว ที่จ.กระบี่ ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายนอกสภาในวันจันทร์นี้ว่า ไม่มีปัญหา เพราะฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล และประเด็นที่เขาสงสัยข้องใจอะไร ก็จะได้มีการดำเนินการต่อไปในสภาอยู่แล้ว


เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ เพราะยังไม่ได้ทำงาน ฝ่ายค้านก็เริ่มโจมตี นายกฯ กล่าวว่า ไม่กังวล เขาคิดว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะตรวจสอบ และการที่ได้แสดงออก ก็เป็นไปตามวิถีทางประชาธิผปไตย จึงไม่ห่วงอะไร


ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการอภิปรายฝ่ายค้านพุ่งเป้าไปที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายกฯ กล่าวว่า รัฐมนตรี ทุกคน ต้องยอมรับการตรวจสอบ ซึ่งเขาได้ให้แนวทางไว้แล้ว ถ้ามีประเด็นข้อสงสัยอะไร ก็จะหาโอกาสชี้แจงต่อไป


เมื่อถามว่า ตรงนี้ จะเป็นการจุดประเด็นให้เกับคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาไม่คิดอย่างนั้น เขาคิดว่า การที่เราเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายแสดงออก ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย น่าจะเป็นแนวทางที่ช่วยลดความตึงเครียดในสังคมได้ เพราะถ้าเราไปปิดกั้น ก็จะเป็นปัญหาต่อไป



"ผมคิดว่า ถ้าเขาแสดงออกในกรอบของกฎหมาย ก็ไม่มีปัญหาอะไร" นายกฯ ระบุ เมื่อถามถึงข่าวการลอบทำร้าย มาตรการรักษาความปลอดภัยมีอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า มีการดูแลอยู่แล้ว เพราะอย่างที่เขาบอก ก็จะมีข่าวลักษณะนี้อยู่บ้าง ในสังคมที่มีความขัดแย้งกันสูง แต่ไม่เป็นไร เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแล ส่วนจะมีปัญหาในเรื่องการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ เพราะเขาก็จะปฏิบัติหน้าที่ภารกิจต่าง ๆ ตามปกติ


เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า สร้างข่าวเอง นายกฯ ตอบว่า ไม่มีการสร้างข่าวอะไร เพราะก็มีการรายงานกันมาเป็นระยะ ๆ แต่มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทางตัวแกนนำเขาเอง ก็อาจจะไม่ทราบก็ได้


ผู้สื่อข่าวถามว่า กลัวหรือไม่กับข่าวเช่นนี้ นายผอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จริง ๆ เราเป็นบุคคลสาธารณะ เราก็มีความเสี่ยงอยู่เป็นธรรมดา แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ก็มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว


เมื่อถามว่า ที่บอกว่า แกนนำไม่ทราบ แสดงว่า รู้ตัวคนที่โทรมาข่มขู่แล้วใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เขาบอกว่า แกนนำอาจจะไม่ทราบ แต่เราก็รู้ว่า ในบางส่วน อาจจะมีคนที่คิดใช้ความรุนแรง ปะปนเข้าไป เราก็อยากให้แยกกันให้ออก เพราะเขาก็เชื่อว่า หลายคนที่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็อยากแสดงออกตามวิถีทางปกติ แต่ก็อยากให้ช่วยระมัดระวังว่า ก็มีคนบางกลุ่ม ที่อาจจะเลยเถิดหรือไปไกล


ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดงใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่า คนที่เขาไม่หวังดี ก็อาจจะแทรกตัวเข้าไป แต่เรื่องนี้ ก็ต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป ซึ่งในส่วนที่เป็นตัวบุคคล ไม่ใช่ขบวนการ เจ้าหน้าที่ก็จะต้องตรวจสอบต่อไป


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการร้องขอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากขึ้นเป็นพิเศษหรือไม่ นายกฯ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มี เพราะมีผู้ดูแลอยู่แล้ว เชื่อว่า เขาก็ดูแลได้ จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่ม เพราะคิดว่า ที่มีอยู่คงพอ


เมื่อถามว่า กังวลว่า จะเกี่ยวข้องกับครอบครัวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่กังวล คงมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ ในส่วนของครอบครัว ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ


"สุเทพ"ระบุนายกฯอภิสิทธิ์ไม่วิตกถูกโทรข่มขู่


นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมีโทรศัพท์ข่มขู่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่าเป็นการดำเนินการในรูปแบบ เป็นกลุ่มขบวนการ หรือรายบุคคล หากพบจะดำเนินการทันที ส่วนจะเชื่อมโยงกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ ต้องรอผลการตรวจสอบ


นายสุเทพ กล่าวว่า ระหว่างนี้คงไม่ต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นายกรัฐมนตรี และไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เพราะเชื่อว่าการข่มขู่จะไม่เป็นปัญหา ต่อการทำงานของรัฐบาล และไม่ได้เป็นการเรียกคะแนนสงสาร ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้วิตก และจะทำหน้าที่ต่อไป


นายสุเทพ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตอนนี้ยังเป็นเพียงการเริ่มติดต่อระดับคนใกล้ชิด โดยจะขอร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกคนใกล้ชิด ให้ยุติการสร้างความวุ่นวาย ส่วนการที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายนอกสภา ทางรัฐบาลก็พร้อมรับฟัง


ที่มา: http://www.komchadluek.com


 


4แกนนำเสื้อแดงปทุมธานีเตรียมขนม็อบรับ"อภิสิทธิ์"


ม็อบเสื้อแดงเปิดศักราชใหม่ พาคนนับ100ปิดล้อมโรงแรมพ่อตาเนวินย่านไนท์บาซ่าร์ ตามตะเพิด"ไพฑูรย์ แก้วทอง" ม็อบเสื้อแดงลำปางชุมนุมต้าน"สมเกียรติ" "ประชา"ชี้"ทักษิณ"ยอมเจรจาหากเกิดผลประโยชน์กับประเทศ


กลุ่มเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี โดยมี 4 แกนนำประกอบด้วยนายวินัย เทพฤทธิ์ , นายพิชัย ก้อนแก้ว , นางสุวรรณา ตาลเหล็ก และนายสมบุญ ขุนทองไทย ผู้นำกลุ่มเสื้อแดง ได้เตรียมที่จะนัดกลุ่มเสื้อแดง รวมตัวกันในวันที่ 4 ม.ค.52 ที่หน้าศาลากลางหลังเก่า เขตเทศบาลเมืองปทุมธานี โดยจะรวมตัวกัน เพื่อต้อนรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางมาช่วยหาเสียงและปราศรัยย่อยให้กับ นายอภินันท์ ช่วยบำรุง ผู้สมัคร สส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองปทุมธานี ในเวลา 14.30 น. เมื่อผู้สมัครได้ขึ้นรถปราศรัยหาเสียงเชิญชวนประชาชนมาร่วมฟังกันที่สนามหน้าศาลากลางหลังเก่าจังหวัดปทุมธานี ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้มีการประกาศนัดรวมตัวเดินทางมาพร้อมกันที่หน้าศาลกลางหลังเก่าในเวลา 12.00 น.เป็นต้นไป


ส่วน พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ได้มีคำส่งให้ชุดปราบจลาจลของแต่ละสถานี ให้มารวมตัวกันที่กองบังคับการในวันที่ 4 ทันที เพื่อป้องกันเหตุทั้งสองฝ่าย ที่จะขนผู้คนมาฟังปราศรัย และให้กำลังใจนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กันจำนวนมาก



ม็อบเสื้อแดงปิดล้อมโรงแรมพ่อตาเนวินไล่"ไพฑูรย์"


เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 3 ม.ค. 52 ม็อบเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่51 กว่า 100 คน นำโดยน.ส.กัญญาภัค มณีจักร แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้รวมตัวกันนำรถเครื่องขยายเสียง สี่ล้อแดงและรถตุ๊กตุ๊กมาปิดล้อมที่ด้านหน้าโรงแรมรอยัลล้านนา ย่านไนท์บาซ่าร์ ถ.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังมีกระแสข่าวว่านายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.กระทรวงแรงงาน และกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปปัตย์ได้เดินทางมาพักที่โรงแรมดังกล่าว พื่อเตรียมช่วยนายขยัน วิพรหมชัย ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปปัตย์ จ.ลำพูน ลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งซ่อม



ในระหว่างการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.เมืองเชียงใหม่ กว่า 20 นาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบได้นำกำลังพร้อมอผงเหล็กของโรงแรมมากั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้ามาด้านใน แต่เหตุการณ์ก็เป็นไปโดยสงบ โดยกลุ่มเสื้อแดงรวมตัวกันปิดล้อมด้านหน้าและทางเข้าออกทุกด้านของโรงแรมไว้นานกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวผู้พักอยู่ในโรงแรมขับรถยนต์เข้าออกได้ แต่อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่จะเดินเท้าออกไป ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวไทยบางส่วนที่มีกำหนดจะขับรถส่วนบุคคลออกไปท่องเที่ยวตามยอดดอยต้องหงุดหงิดไม่พอใจหลายราย แต่ก็ไม่ได้มีปากเสียงหรือปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด



ในที่สุดเมื่อเช็คข่าวทราบชัดว่านายไพฑูรย์ ได้เช็คเอาท์ไปก่อนหน้าที่กลุ่มเสื้อแดงจะมาปิดล้อม จึงได้ยอมสลายตัวกันไปโดยสงบ โดยน.ส.กัญญาภัค  แกนนำเสื้อแดงรักเชียงใหม่51 ประกาศผ่านทางเครื่องเสียง ซึ่งมีการถ่ายทอดสดบรรยากาศการชุมนุมผ่านทางสถานีวิทยุชุมชน 92.5เมกกะเฮิรตซ์ ว่า การชุมนุมครั้งนี้ถือเป็นการประเดิมการเคลื่อนไหวต่อต้านรับบาลประชาธิปปัตย์ศักราชใหม่ และหากรู้ว่าคนของพรรคประชาธิปปัตย์หรือ ส.ส.สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลที่แปรพักตร์รวมถึงกลุ่มแกนนำพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยจะเข้ามาเหยียบพื้นที่ จ.เชียงใหม่ที่ใด  ก็จะพาม็อบเสื้อแดงเชียงใหม่ตามมาไล่ไปให้พ้นจากพื้นที่ทันที


ม็อบเสื้อแดงลำปางชุมนุมต้าน"สมเกียรติ"


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 3 ม.ค. 2551กลุ่มเสื้อแดงลำปาง ประมาณ 300 คนรวมตัวชุมนุมกันบริเวณ หน้าห้างเสรีสรรพสินค้า อ.เมือง จ.ลำปาง หลังมีกระแสข่าวว่านายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเดินทางมาร่วมประชุมกับแกนนำกลุ่มพันธมิตรลำปาง ที่ห้างชั้น 2 สรรพสินค้าเสรี โดยกลุ่มเสื้อแดงลำปางได้กล่าวโจมตีและท้าทายให้นายสมเกียรติ ออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มของตน และปลุกระดม " เอาพรรคประชาธิปัตย์ออกไปเอาทักษิณคืนมา "



สำหรับวันนี้แกนนำกลุ่มพันธมิตรลำปาง จะมีการประชุมระดับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯลำปาง เพื่อหารือแนวทางการเคลื่อนไหวและการประสานงานในกลุ่มว่าจะทำงานร่วมกันกันอย่างไรต่อไป โดยนายสมเกียรติ มีกำหนดการเดินทางมาที่ จ.เชียงใหม่ ทางพันธมิตรลำปางจึงเชิญมาร่วมเป็นที่ปรึกษาข้อประชุมดังกล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ กลุ่มเสื้อแดงลำปาง กำลังชุมนุมอยู่ ทางห้างเสรีสรรพสินค้าได้ ปิดประตูทางเข้าออกบริเวณหน้าห้าง เพราะเกรงว่ากลุ่มม็อบเสื้อแดงจะบุกเข้าไปภายในห้างฯ



"สมเกียรติ"ร่วมประชุมพันธมิตรลำปาง


เมื่อเวลา 15.00 น.  นายสมเกียรติ ได้เดินทางมาที่ชั้น 5 อาคารเสรีสรรพสินค้า บริเวณโรงหนังเสรีซีนีเพล็กซ์ และมีการประชุม แกนนำและเครือข่ายพันธมิตรฯลำปาง โดยมีนพ.บุญจง ชูชัยแสง รัตน์ รองประธานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ลำปาง พร้อมแกนนำพื้นที่ลำปาง และสมาชิกเครือข่ายพันธมิตรลำปาง กว่า 300 คน มาร่วมประชุม และลงชื่อเพื่อเป็นแนวร่วมในการขับเคลื่อนร่วมกันกับพันธมิตรส่วนกลาง


หลังเสร็จสิ้นการประชุม ในเวลา 16.00 น.นายสมเกียรติ เขียนลายเซ็นลงบนมือตบ และเสื้อเหลือง ให้กับกลุ่มพันธมิตรที่มาร่วมประชุมดังกล่าว และให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่า การเดินทางมา จ.ลำปาง ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมาพบ และปราศรัยกับเพื่อนพันธมิตรภาคเหนือ ซึ่งมีกำหนดมาที่ จ.ลำปาง และอ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อกำหนดแนวทาง ความร่วมมือขับเคลื่อนงานการเมืองร่วมกันที่ชัดเจน โดยคาดว่าจากนี้ในส่วนของภาคเหนือ น่าจะได้มาปราศรัยในพื้นที่อื่นๆต่อไป จากนั้นได้เดินออกทางด้านหลังลานจอดรถ เพื่อเดินทางกลับ โดยรถยนเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้าแจ๊ส สีขาว ไม่ติดป้ายทะเบียน



ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุม บริเวณ หน้าห้างสรรพเสรีสินค้า บรรยากาศไม่ค่อยคึกคักนัก และเริ่มบางตาลง ตั้งแต่ช่วงเวลา 15.00 น. โดยมีไม่ถึง 100 คน



"ประชา"ชี้"ทักษิณ"ยอมเจรจาหากเกิดผลประโยชน์กับประเทศ


นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พยายามติดต่อขอเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของชาติเดินไปข้างหน้า ว่า หากนายสุเทพ จะมาเจรจาเพื่อหวังผลประโยชน์ร่วมกัน พ.ต.ท. ทักษิณ คงไม่เจรจาแน่ แต่ถ้าเจรจาแล้วประโยชน์ตกอยู่กับประเทศชาติอย่างแท้จริง ทำให้เศรษฐกิจชาติพ้นวิกฤต ลดความแตกแยกของคนในชาติ และให้ผลคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมบนพื้นฐานของความถูกต้องเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พร้อมเจรจาด้วย" นายประชา กล่าว



พผ.เรียกร้องส.ส.พรรคทำงานเพื่อชาติ-ประชาชน


นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีความแตกแยกของสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินที่เกิดขึ้นภายหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นภายในพรรคสำหรับตนเองถือว่าได้ผ่านพ้นและได้จบลงไปแล้ว หลังจากนี้ตนอยากจะให้ส.ส.ของพรรคที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหันมาทำงานเพื่อชาติ และแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนจะดีกว่า ซึ่งหากสมาชิกพรรคทั้งสองกลุ่มได้ยึดหลักดังกล่าวเป็นที่ตั้ง ตนก็เชื่อว่าปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และมั่นใจว่าการทำงานของพรรคหลังจากนี้ไปก็สามารถที่จะเดินหน้าทำงานร่วมกันต่อไปได้


"ความคิดเห็นที่ต่างแตกกันในช่วงที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ตอนนี้เราได้เดินก้าวผ่านเวลาช่วงนั้นมาแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.แต่ละคนที่จะสามารถตัดสินใจใช้สิทธิ์ของตนเอง ส่วนข่าวที่ออกมาว่าทางพรรคมีความแตกแยกออกเป็นกลุ่มๆ นั้น คงจะไม่ใช่ความจริง เท่าที่ผมเห็นก็มีเพียงแค่สองกลุ่มที่มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ดังนั้นผมจึงอยากจะเรียกร้อง และขอให้ทุกคนภายในพรรคยึดหลักทำงานเพื่อประเทศ และประชาชนเป็นหลัก เร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเวลานี้จะดีกว่า อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่น เพราะหากเราทุกคนยึดเอาประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก ปัญหาเรื่องถือว่าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ " นายชาญชัยกล่าว


รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงดำเนินการส่งผลการประชุมใหญ่พรรคในการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ว่า ก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ตนได้มอบหมายให้นายทะเทียบพรรค ดำเนินการยื่นส่งผลการประชุมใหญ่ในการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไปยังต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)แล้ว ในขณะนี้คงจะต้องให้การพิจารณารับรองผลการประชุมดังกล่าวจากกกต.อีกครั้ง ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ส่วนทิศทางการทำงานของพรรคหลังจากนี้ คงจะต้องรอผ่านช่วงวันหยุดปีใหม่ไปแล้ว ทางพรรคคงจะต้องมีการเรียกประชุมพรรค เพื่อพูดคุยถึงแนวทางการทำงานของพรรคต่อไป


นายชาญชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยที่ออกมาระบุว่าจะมีการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันทีหลังจากที่เปิดสมัยประชุมสภาว่า เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายค้านที่สามารถทำได้ เราคงจะต้องรอดูว่าฝ่ายค้านจะยื่นขออภิปรายในประเด็นได้


"เรื่องนี้เหมือนกับรัฐบาลกำลังเตรียมสำรับกับข้าว พร้อมที่นำไปตั้งเพื่อรับประทาน แต่ฝ่ายค้านเห็นว่าไม่น่าอร่อยไม่อยากจะกิน เราก็คงจะไปว่าอะไรไม่ได้ ในเมื่อไม่อยากจะกินก็ไม่ต้องกิน แต่ก็ต้องบอกมาว่าไม่อยากกินเพราะสาเหตุอะไร ไม่อร่อยตรงไหน ให้มาพูดกัน" นายชาญชัยกล่าว


ด้านนายรณฤทธิชัย คานเขตต์ ส.ส.จังหวัดยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ส่วนตัวมองว่าน่าจะเป็นการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เร็วไปหน่อย เนื่องจากในขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้เริ่มทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอันอะไรเลย แต่ในเมื่อพรรคฝ่ายค้านอยากจะขอเปิดอภิปรายก็สามารถที่จะทำได้ เนื่องจากเรื่องถือว่าเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเราคงจะต้องรอดูว่าฝ่ายค้านจะขอเปิดอภิปรายรัฐบาลในประเด็นใด



ที่มา: http://www.komchadluek.com






ต่างประเทศ


คิวบาฉลอง 50 ปี ปฏิวัติประเทศ


ประธานาธิบดี ราอูล คาสโตร ผู้นำคิวบา จัดพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในวันครบรอบ 50 ปีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเผด็จการมาเป็นสังคมนิยมเมื่อ 1 ม.ค. มีทั้งการเต้นรำและงานแสดงคอนเสิร์ต พร้อมกับเทศกาลฉลองต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นเกียรติแก่นายพลฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำกองกำลังปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลนายฟุลเกนชิโอ บาติสตา เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2502 ก่อนขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศสังคมนิยมต่อมากว่า 40 ปี ก่อนมอบอำนาจให้นายราอูลผู้เป็นน้องชาย เมื่อเดือน ก.พ. 2551


พิธีฉลองจัดขึ้นที่จัตุรัสซานติอาโกในเมืองซานติอาโก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ขณะที่ประธานาธิบดี อีโว โมราเลส แห่งโบลิเวีย และประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา  กล่าวสุนทรพจน์สดุดีอดีตผู้นำคิวบาจากกรุงลาปาซและกรุงการากัส เมืองหลวงของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนนักวิเคราะห์หวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับคิวบาจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อนายบารัก โอบามา เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. เพราะก่อนหน้านี้โอบามาเคยประกาศพร้อมเจรจากับผู้นำคิวบาเป็นการส่วนตัว


ด้านนักสิทธิมนุษยชนในกรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบา ระบุปัจจุบันยังมีนักโทษการเมือง 219 คน ถูกคุมขังเพราะมีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลสังคมนิยม แต่ถือว่าลดลงมากจากจำนวน 15,000 คน ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่ปี 2507 ขณะที่สหภาพแรงงานสูญเสียอำนาจในการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และโบสถ์คริสต์หลายแห่งถูกคุกคาม แต่จำนวนคนไม่รู้หนังสือลดลงอย่างมาก เพราะนายพลคาสโตรเน้นสร้างโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังทำให้คิวบากลายเป็นประเทศที่มีระบบสวัสดิการด้านสุขภาพครอบคลุมและทั่วถึง.


ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ


 


มะกันประท้วงเว็บแบนภาพเปิดเต้าให้นมลูก


ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวอเมริกันกว่า 11,000 คน พร้อมใจกันเผยแพร่ภาพแม่ลูกอ่อนเปิดเต้าให้นมลูกเมื่อ 1 ม.ค. เพื่อประท้วงเว็บไซต์ "เฟซบุ๊ก" และ "มายสเปซ" ผู้ให้บริการเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ ฐานลบภาพการให้ทารกดื่มนมจากเต้าของ น.ส.เคลลี โรแมน คุณแม่ลูก 2 ชาวอเมริกัน วัย 23 ปี ซึ่งเพิ่งโพสต์รูปตัวเองขณะให้นมลูกลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา และมีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แจ้งว่าจำเป็นต้องลบภาพดังกล่าวเพราะเป็นการเปิดเผยเนื้อหนังบริเวณเต้านม เข้าข่าย "ภาพลามกอนาจาร"


น.ส.โรแมนได้ก่อตั้งเว็บไซต์ขึ้นใหม่โดยใช้ชื่อว่า "เฮ้, เฟซบุ๊ก การให้นมจากเต้าไม่ใช่เรื่องลามก!" และมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเข้าร่วมเป็นสมาชิกกว่า 97,600 คน รวมถึงผู้ลงนามต่อต้านนโยบายห้ามเผยแพร่ภาพการให้นมจากเต้าอีกราว 1 หมื่นคน สมาชิกในเว็บไซต์ช่วยกันรวบรวมและเผยแพร่ภาพแม่ลูกอ่อนที่กำลังเปิดหน้าอกให้ลูกดื่มนม ทั้งยังมีการโพสต์วีดิโอการให้นมอย่างถูกวิธีลงไปด้วย


ด้านนายแบร์รี ชนิตซ์ โฆษกของเฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางเว็บมิได้สั่งลบภาพการให้ลูกดื่มนมจากเต้า แต่มีกฎห้ามเผยแพร่ภาพที่เห็นหัวนมหรือบั้นท้ายของสตรี วันเดียวกัน ประธานาธิบดี บาร์รัต ฮักเดโอ แห่งกายอานา เรียกร้องให้ตำรวจสอบสวนกรณีมีผู้อ้างตัวเป็นผู้นำกายอานาและเผยแพร่ภาพถ่ายของตนลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ซึ่งมีเครือข่ายผู้ใช้บริการกว่า 140 ล้านคนทั่วโลก เพราะเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจผิดและถูกมิจฉาชีพทางอินเตอร์เน็ตหลอกลวง ขณะที่ตำรวจกายอานาระบุ มีผู้อ้างตัวเป็นนายฮักเดโอในเว็บไซต์ไฮไฟว์ด้วยเช่นกัน


ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ






ความมั่นคง


ศาลปค.เตือนการให้ข่าวกรณีซานติก้าระวังเข้าข่ายหมิ่นศาล


นายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ออกหนังสือแถลงการณ์ชี้แจง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม กรณีแซนติก้าผับเกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้คนตาย ที่ผู้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในทำนองที่ชวนให้สังคมเข้าใจว่า ศาลปกครองมีส่วนในการทำให้เกิดเหตุเสียหายกรณีแซนติก้าผับเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ด้วย โดยได้มีการให้ข่าวในทำนองว่า "อาคารแซนติก้าผับสร้างไม่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดรวมทั้งขณะยื่นขออนุญาต อาคารที่ยื่นขอก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ และอยู่นอกพื้นที่อนุญาตให้จัดตั้งสถานบริการ (โซนนิ่ง) ฉะนั้นทางตำรวจจึงไม่อนุญาตให้เปิดสถานบันเทิง แต่ต่อมาผู้ประกอบการได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองและศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ผู้ประกอบการเปิดดำเนินกิจการต่อไปได้จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้และมีคนเสียชีวิตจำนวนมาก" นั้น


สำนักงานศาลปกครองขอเรียนชี้แจงว่า ผู้ประกอบการได้ฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 โดยผู้ประกอบการอ้างว่าได้ยื่นขออนุญาตจัดตั้งสถานบันเทิงตามเงื่อนไขของกฎหมายต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ แต่ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อละเลยล่าช้าไม่ออกใบอนุญาตจัดตั้งสถานบริการ ทำให้ผู้ประกอบการถูกจับกุมในข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ประกอบการจึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางพร้อมกับขอคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งต่อมาศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2547 แต่ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นด้วย จึงได้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547


ต่อมาวันที่ 7  มีนาคม 2550 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อกับพวกแพ้คดี โดยศาลพิเคราะห์ว่าผู้ประกอบการได้ยื่นแจ้งตั้งสถานบริการโดยไม่ขัดต่อกฎหมายด้วยเหตุผลดังนี้


1. ผู้ขออนุญาตจัดตั้งสถานบริการมีคุณสมบัติตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509  คือ อายุไม่ต่ำกว่า 20  ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียบกพร่องในศีลธรรมอันดี ไม่เป็นผู้วิกลจริต ไม่เป็นโรคติดต่อหรือไม่เป็นผู้ต้องรับโทษในความผิดเกี่ยวกับเพศ เป็นต้น


2. สถานที่ตั้งของสถานบริการไม่ขัดต่อมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509  ซึ่งห้ามตั้งสถานบริการที่อยู่ใกล้ชิดวัด โรงเรียน โรงพยาบาล สโมสรเยาวชน หอพัก และไม่อยู่ในย่านที่ประชาชนอยู่อาศัยอันจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ รวมทั้งมีทางถ่ายเทอากาศสะดวก


3. ผู้ประกอบการยื่นเอกสารหลักฐานครบถ้วนตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2525) ออกตามความในพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509


นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่าไม่มีกฎหมายกำหนดให้ขณะยื่นแจ้งตั้งสถานบริการดังกล่าวต้องมีอาคารสถานที่อันเป็นที่ตั้งของสถานบริการที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพราะในการยื่นขออนุญาต ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบแปลนและผังก่อสร้างอาคารที่ผ่านความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่โยธา กรุงเทพมหานคร แนบให้ตำรวจพิจารณาอยู่แล้ว               


ส่วนในกรณีที่ตำรวจแจ้งว่าแซนติก้าผับอยู่อยู่นอกเขตพื้นที่ เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการกรุงเทพมหานคร (โซนนิ่ง) ศาลเห็นว่า ผู้ประกอบการได้ยื่นคำร้องขอแจ้งการตั้งสถานบริการต่อเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2546  ซึ่งเป็นวันที่ก่อนพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549 จะใช้บังคับ (ก่อนวันที่ 29 ธันวาคม  2546) จึงสามารถขอให้อนุญาตจัดตั้งได้


ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลปกครองกลางจึงพิพากษาว่า การใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ตั้งสถานบริการดังกล่าวของตำรวจเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ต่อมาวันที่ 19 เมษายน 2550 ฝ่ายตำรวจได้อุทธรณ์เรื่องดังกล่าวไปยัง ศาลปกครองสูงสุด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบผลการพิจารณาเพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด


กรณีดังกล่าวสำนักงานศาลปกครองขอเรียนชี้แจง โดยสรุปว่าความถูกหรือผิดตามแบบของอาคารแซนติก้าผับเป็นเรื่องของตำรวจและเจ้าหน้าที่โยธาของกรุงเทพมหานครที่จะต้องวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับศาลปกครองแต่ประการใด เพราะ


1. การพิจารณาของศาลเป็นเรื่องกรณีที่ตำรวจละเลยล่าช้าในการออกใบอนุญาตสถานบริการแซนติก้าเท่านั้น


2. ไม่มีประเด็นเรื่องความถูกผิดตามกฎหมายของแบบอาคารแซนติก้าผับมาให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอย่างที่เป็นข่าวแต่ประการใด


อนึ่ง สำนักงานศาลปกครองขอเรียนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ศาลปกครองจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในเรื่องที่ผิดกฎหมาย การให้ข่าวในทำนองชวนให้สังคมเข้าใจว่าศาลปกครองมีส่วนร่วมเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดเหตุร้ายครั้งนี้ อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทศาล


ที่มา: มติชนออนไลน์


 






คุณภาพชีวิต


เรือน้ำมันเมืองคอนล่มกลางอ่าว


เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2552 ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2552 จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สรุปผลการปฏิบัติงานรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตราย ของการดำเนินงานตั้งแต่ วันที่ 30 ธันวาคม 2551- วันที่ 1 มกราคม 2552 โดย 4 วันที่ ผ่านมาปรากฎว่า ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีอุบัติเหตุทางถนนในจังหวัดเกิดขึ้นในเฉพาะวันที่ 2 ม.ค. 2552 ที่ผ่านมาอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้น 8 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต  1 ราย บาดเจ็บ 7 คน  รวม 4 วันเกิดอุบัติเหตุ 46 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต รวม 4  ราย  เป็นชาย 3 คน และหญิง 1 คน มีผู้บาดเจ็บ 54คน เป็นชาย 37 คนและหญิง 17 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 10.7  ล้านบาท


สำหรับผู้เสียชีวิตประกอบด้วย อ.บางขัน 2 คนคือนางสิริขวัญ คงศรีรินทร์ อายุ 21 ปี และ ด.ช.สรวิศ  สุดปะกิ่ง อายุ 9 เดือน สองแม่ลูกโดยนางสิริขวัญ ขับรถจักรยานยนต์เร็วเกินกำหนด ทำให้รถเสียหลักตกคูถนน  อ.พรหมคีรี 1              รายคือนายกิตติวรณ์ จงรักษา อายุ 19 ปี  เมาสุราเดิน ข้ามถนนรถชนเสียชีวิต  และรายสุดท้ายที่ อ.หัวไทร นายณรงค์วุฒิ จันทร์เขียว อายุ 25 ปี ขับรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัยประสบอุบัติเหตุ


ส่วนกรณีฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวันในพื้นที่เทือกเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช  ทำให้น้ำไหลทะลักลงมาในแม่น้ำลำคลองส่งผลให้เอ่อท่วมถนนหนทาง พื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนของประชาชนจำนวนมาก และยังไหลเข้าสู่พื้นที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชอย่างรวดเร็ว หากฝนยังไม่หยุดตกจะเกิดผลกระทบกับประชาชนเป็นบริเวณกว้างอย่างแน่นอน



นายปราโมทย์ ช่วยบุญชู รองหัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยานครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าฝนที่ตกลงมาติดต่อกันหลายวันในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในขณะนี้ เป็นผลมาจากประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากความกดอากาศสูง ประกอบกับมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้ลมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยความเร็วของลมอยู่ที่ 20-40 กม/ชม. และทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัด นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ลงไปถึง จ.นราธิวาส จะต้องระมัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ถึงวันที่ 4 มกราคม 2552 และเรือเล็กในอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง


"อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย พื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ราบลุ่ม ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิดและเตรียมขนย้ายทรัพย์สินไว้ในที่ปลอดภัย" นายปราโมทย์กล่าว


ล่าสุดเมื่อเวลา 16.00 น.ของวันเดียวกัน พ.ต.ท.ก.จารุ สังขมรรทร รอง ผกก.6 บก.รน.(ตำรวจน้ำ) รับแจ้งว่ามีเรือบรรทุกน้ำมันสำหรับเติมเรือประมง (เรือแท็งค์เกอร์) ประสบอุบัติเหตุอับปางบริเวณระหว่างรอยต่อเกาะสมุยและ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ที่พิกัด แลตติจูด 9 องศา 00 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 40 ลิปดาตะวันออก มีลูกเรือขอความช่วยเหลือจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงเข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยเรือเร็วตรวจการ พบว่าเรือบรรทุกน้ำมันลำดังกล่าวคือเรือ โฟร์โมสต์ 1 มีความยาว 34 เมตร เป็นเรือสถานีบริการน้ำมันขนาดความจุ 3 แสนลิตร สภาพพลิกคว่ำจมติดกับระดับน้ำทะเล ในสภาพที่คลื่นลมกระหน่ำอย่างรุนแรงพร้อมด้วยฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก


เบื้องต้นได้มีเรือบรรทุกน้ำมันอีกลำคือเรือทองวัฒนา 8 มีนายสายชล ขาวเกวียน เป็นกัปตันเรือที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงประสบเหตุเข้ามาให้การช่วยเหลือลูกเรือสถานีบริการน้ำมันดังกล่าวไว้ได้รวม 4 คน คือนายนที กวินธวีกุล กัปตันเรือ นายสเวน ทองวัน นายศรเพชร อ่วมประเสริฐ และนายนิพันธ์ เสือเหลือง ทั้งหมดอยู่ในสภาพอิดโรย โดยยังมีลูกเรือที่ยังไม่ทราบชื่อสูญหายอีก 2 คน ซึ่งไม่ทราบชะตากรรมเบื้องต้นนั้นเชื่อว่าอาจจมน้ำเสียชีวิตไปแล้ว


อย่างไรก็ตามสำหรับสาเหตุในเบื้องต้นนั้นพบว่าช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นได้มีคลื่นลมกระโชกอย่างรุนแรงระดับคลื่นสูงกว่า 5 เมตรพัดเรือสถานีน้ำมันที่จ่ายน้ำมันจนเกือบหมดแล้วเหลือเพียงราว 1 พันลิตร ซึ่งมีความเบาไม่สามารถทานแรงคลื่นได้อับปางลงในที่สุด ในขณะที่เรือทองวัฒนา 8 ที่อยู่ใกล้กันนั้นได้ช่วยเหลือลูกเรือไว้ได้ 4 คนสูญหายอีก 2 คน ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นนับล้านบาทและโชคดีที่น้ำมันได้จ่ายออกไปจนเกือบหมดแล้วไม่เช่นนั้นจะสร้างมลภาวะในบริเวณดังกล่าวอย่างรุนแรง


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 


วท.ฟื้น"9หมู่บ้านเทคโนโลยี" เสนอใช้นโยบายวิทย์แก้จน


คุณหญิงกัลยาเล็งฟื้นหมู่บ้านเทคโนโลยี 9 แห่ง เทิดพระเกียรติในหลวง เป็นต้นแบบขยายทั่วประเทศ ชูนโยบายใช้วิทยาศาสตร์แก้ปัญหาความยากจน นำผลงานกระทรวงประยุกต์ใช้ เพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างงาน-รายได้ ตั้งกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ อบรมคนชนบทให้เรียนรู้ไอที


คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 มกราคม ว่าได้เตรียมขยายโครงการ "หมู่บ้านเทคโนโลยี" เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว       โดยจากการที่มีโอกาสได้พูดคุยกับนาย  บัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษา      พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน ทำให้ทราบว่ามีโครงการที่น่าสนใจ ที่เรียกว่า "หมู่บ้านเทคโนโลยี 9 แห่ง" ที่จัดทำขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม พรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา ตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งเป็นโครงการที่น่าสนใจ และควรสานต่อเพื่อขยายผลให้เป็นรูปธรรม เบื้องต้นได้มอบ หมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้ง การดำเนินงานที่ผ่านมา โดยจะนำมาศึกษาและสานต่อเพื่อเป็นแบบอย่างและขยายไปสู่หมู่บ้านอื่นๆ  ต่อไป


คุณหญิงกัลยายังกล่าวถึงนโยบายการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ว่าขณะนี้ได้มอบหมายให้ 15 หน่วยงาน ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ไปศึกษาถึงการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปแก้ปัญหาความยากจน ยิ่งขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ ต้องเร่งนำผลงานต่างๆ ของกระทรวงตลอด 30 ปี ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ สร้างงานให้มากที่สุด เบื้องต้นจะอาศัยความร่วมมือจาก ส.ส.ในพื้นที่ช่วยประเมินปัญหาของแต่ละพื้นที่ เพื่อหาแนวทางทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโล ยีเข้าไปช่วยหลือ หรืออาจใช้วิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้สอด คล้องกับสังคมนั้นๆ


"ที่สำคัญจะนำโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีอยู่ 1,000 กว่าโครงการทั่วประเทศ ให้ถูกนำไปใช้ประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะในชนบทเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น" คุณหญิงกัลยากล่าว และว่า สำหรับโครงการพระราชดำริจะมีในเรื่องดิน น้ำ การเกษตร และระบบชลประทาน ยกตัวอย่าง การใช้แผงดักหมอก ที่นำใบไม้มาสานต่อกันเป็นแผง เพื่อกั้นหมอกให้กลายเป็นหยดน้ำ ให้ความชุ่มชื้นเฉพาะพื้นที่ เป็นต้น


คุณหญิงกัลยากล่าวว่า กระทรวงยังมีนโยบายสร้างงานอื่นๆ ผ่านทางผู้ประกอบการ โดยจะสนับสนุนเงินลงทุนในการสร้างอาชีพใหม่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มีการสนับสนุนเงินทุนให้ภาคเอกชนเพื่อพัฒนานวัตกรรม แต่ยังไม่มีการศึกษาจริงจังว่าตลาดมีความต้องการผลิต ภัณฑ์ประเภทไหน มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างไร จุดนี้กระทรวงจะจัดตั้งกองทุนพิเศษขึ้น โดยภาครัฐร่วมกับเอกชนในการทำวิจัยและพัฒนาในสิ่งที่ตลาดต้องการ พร้อมทั้งจะจัดแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือกองทุนกู้ยืมต่างๆ ให้แก่เอกชนที่ต้องการมีธุรกิจของตัวเอง


"นโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหา     คนตกงาน จะเน้นการฝึกอบรมคนเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานจริงๆ ยกตัวอย่าง โครงการคืนครูสู่นักเรียน ทุกวันนี้ครูถูกใช้ให้ไปทำหน้าที่เป็นครูธุรการ ทำให้ขาดแคลนครูถึง 9 หมื่นคน รัฐบาลจะให้ครูธุรการไปสอนหนังสือ และ       จะจ้างคนจบใหม่มาเป็นธุรการแทน ส่วน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะเน้นการฝึกอบรมบุคลากรด้านไอที หรือเทคโนโลยีอิเล็ก ทรอนิกส์ต่างๆ ในพื้นที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศ โดยกระทรวงจะร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการฝึกอบรมคนให้มีความรู้เรื่องไอที เพื่อให้มีความสามารถไปคุมเครื่องไม้เครื่องมือใน อบต. อบจ.ได้  โดยฝึกแค่ 1 เดือน ก็สามารถทำงานได้ทันที การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้ สร้างอาชีพได้"  คุณหญิงกัลยากล่าว


อนึ่ง เมื่อปี 2530 กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ดำเนินงานโครงการหมู่บ้านเทคโนโลยี 9 แห่งขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 5 รอบ โดยหมู่บ้านทั้ง 9 แห่งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย  1.บ้านโนนเจดีย์  ต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ 2.บ้านท่าหว้า ต.กะหาด อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ 3.บ้านหนองแวง ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย 4.บ้านโพนงามท่า ต.นาแก้ว  อ.เมืองสกลนคร 5.บ้านแก่งโก ต.แก้งสนามนาง กิ่ง อ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา 6.บ้านสะอาด  ต.เมืองเก่า อ.เมืองขอนแก่น 7.บ้านโคกล่าม ต.ดงลิง อ.มาลาไสย  จ.กาฬสินธุ์ 8.บ้านใคร่นุ่น ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม  และ 9.บ้านป่าน ต.ดงสิงห์ อ.เมืองร้อยเอ็ด   โดยเทคโนโลยีที่นำไปถ่ายทอดในหมู่บ้านเทคโนโลยี อาทิ แปลงสาธิตไม้ผลพันธุ์ดี       เพื่อการขยายพันธุ์ การทำการเกษตรโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การแปรรูปและการถนอมอาหาร การทำวัสดุก่อสร้างจากเถ้าแกลบ พลังงานทดแทนต่างๆ และจัดระบบนิเวศวิทยาในหมู่บ้าน เป็นต้น


ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon


 






เศรษฐกิจ


 


เตือนแรงงานปิดโรงงานอาจทำให้ต่างชาติถอนการลงทุนได้


ส.อ.ท.เตือนแรงงานชุมนุมปิดโรงงานอาจทำให้ต่างชาติถอนการลงทุนได้   นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้รับรายงานจากสมาชิกว่า โรงงานถูกปิดล้อมจากแรงงานในหลายโรงงานในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องระมัดระวังเพราะอาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่มีบริษัทแม่ในต่างประเทศอาจรายงานไปยังบริษัทแม่ ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยลดลงได้ หากต่างชาติถอนการลงทุนออกไปได้ และอาจส่งผลกระทบทางอ้อมกับโรงงานอุตสาหกรรมต่อเนื่องและกระทบกับแรงงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้ ดังนั้นหากมีปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างโรงงานกับสหภาพแรงงาน ก็ควรใช้เวทีคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อเจรจากันจะเป็นทางออกที่เหมาะสมมากกว่า และขอให้การเรียกร้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ในขณะที่ภาครัฐก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง


สำหรับภาวะเศรษฐกิจปีนี้จะไม่ดีนัก โดยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ในขณะที่จีนประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ของโลกก็ประสบปัญหาและขณะนี้ได้ลดค่าเงินหยวนลงแล้ว ดังนั้น ส.อ.ท.จึงเห็นว่า ในปีนี้ กลยุทธ์ค่าเงินอ่อน จะเป็นอาวุธสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศ เพราะเมื่อมีการแข่งขันการลดราคาแล้ว ยังมีการใช้ค่าเงินอ่อนค่าเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแข่งขันด้วย ดังนั้นจึงขอฝากทางการไทยให้ดูแลค่าเงินบาทด้วย เพราะหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียง 1-2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากกับผู้ประกอบการในประเทศไทย และโดยเฉพาะผลกระทบกับเกษตรกรไทย


ส่วนสิ่งที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการคือ เร่งจัดตั้งกองทุนเพื่อให้การสนับสนุนสภาพคล่องให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพราะมีจำนวนมากและเป็นผู้จ้างงานจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้ งบประมาณกลางปีที่เพิ่มขึ้นมา 200,000-300,000 ล้านบาท ก็ควรเร่งใช้จ่ายโดยเร็ว ซึ่งรวมถึงการเร่งใช้จ่ายงบค้างท่อด้วย


ที่มา: http://www.posttoday.com


ไทยตีปีกลุ้นญี่ปุ่นย้ายฐานผลิตรถยนต์


นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าว่า ท่ามกลางวิกฤตของอุตสาหกรรมยานยนต์อันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยน่าจะได้รับโอกาสจากการที่นักลงทุนต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบฐานการผลิตในต่างประเทศมีต้นทุนสุงอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นก็มีแนวโน้มเป็นไปได้เช่นกัน เพราะประเทศไทยมีการปรับตัวมาตั้งแต่ปี '40 ทำให้โรงงานไทยมีความเข้มแข็ง ประกอบกับขณะนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินของเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าค่อนข้างมากจะเป็นตัวเสริมที่ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาไทยเพิ่มเติมอีกก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน เพราะต้นทุนการผลิตในประเทศไทยได้เปรียบกว่าต้นทุนการผลิตในญีปุ่นมาก


สำหรับประเภทรถยนต์ที่น่าสนใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยคือ รถยนต์ขนาดเล็ก และรถยนต์ขนส่งขนาดเล็ก เช่น รถกระบะขนาด 1 ตันของไทยที่ขายไปกว่า 100 ประเทศในขณะนี้จะเป็นสินค้ารถยนต์ที่ได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการบางอย่างโดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยและการรักษากฎหมาย เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจ จะช่วยกระตุ้นให้ต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยได้มากยิ่งขึ้น


นายวัลลภกล่าวว่า สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปี '51 ยอดการผลิตและจำหน่ายรถยนต์เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แม้มีสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลกเข้ามากระทบก็ตาม เพราะในช่วง 10 เดือนแรกมียอดการผลิตและจำหน่ายค่อนข้างดี ทำให้ตลอดปีที่ผ่านมา ไทยมียอดการผลิตรถยนต์รวม 1.4 คัน ได้ตามเป้าหมาย ผลิตเพิ่มขึ้นจากปี '50 จำนวน 110,000 คัน โดยปี '50 มียอดผลิตรถยนต์รวม 1.29 ล้านคัน ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศปี '51 ทำยอดรวมได้ 620,000 คัน ในขณะที่ยอดส่งออกปี '51 ได้เพิ่มจากปี '50 ที่มียอดส่งออกรวม 690,000 คัน เพิ่มเป็น 780,000 คัน ยอดส่งออกรถยนต์ขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 20%


ส่วนผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกย่อมส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกรถยนต์ของไทย โดยผลกระทบจะรุนแรงในช่วงไตรมาสแรกปี '52 เนื่องจากยังมีรถยนต์ค้างสต๊อกอยู่จำนวนหนึ่งในต่างประเทศและยังไม่ได้ขายจะต้องมีระยะเวลาที่จะระบายรถยนต์ออกไป ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อยังไม่เข้ามาในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ทำให้คาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ของไทยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้จะลดลงมากอย่างไรก็ตาม ยังหวังว่ามาตรการดูแลเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ๆ หลายประเทศในโลกน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และช่วยทำให้มีความต้องการรถยนต์เพิ่มมากขึ้นและทำให้ยอดสั่งซื้อรถยนต์


"จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงคาดการณ์ว่ายอดขายการผลิตรถยนต์ของไทยในปีนี้จะลดลงมาเหลือเพียง 1.2 ล้านคน จากที่ปีที่แล้วมียอดรถยนต์รวม 1.4 ล้านคัน ส่วนยอดขายในประเทศจะลดลงเหลือประมาณ 10% หรือมียอดขายรวม 650,000 คัน ที่เหลืออีกประมาณ 600,000 คัน เป็นยอดส่งออกขายต่างประเทศ" นายวัลลภกล่าว


ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด


 


ปธ.TDRI แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบกระตุ้น ศก. ชี้ปี 52 จีดีพีอาจติดลบ


นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI กล่าวว่า แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มีโอกาสขยายตัวเพียง ร้อยละ 0-1 หรืออาจติดลบ เนื่องจากขณะนี้ มีสัญญาณที่เห็นชัดเจนแล้วว่า การลงทุนและการบริโภคของประชาชนในครึ่งปีแรกจะถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจ โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจตกต่ำสุด น่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะ งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และโครงการเมกะโปรเจกต์ นอกจากนี้เห็นว่า จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องบริหารงานให้เป็นหนึ่งเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยต้องร่วมมือการทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มา: http://www.naewna.com

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net