Skip to main content
sharethis

บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรตติ้ง) เผยแพร่บทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ว่า เศรษฐกิจไทยส่อเค้าวิกฤตหนักที่สุดในเอเชีย จากสาเหตุที่การส่งออกทรุด ราคาสินค้าเกษตรตก การเมืองไม่นิ่งทำต่างชาติไม่กล้าลงทุน



ทั้งนี้ แผนกวิจัยเศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรมของมูดี้ส์ ระบุว่า ดูเหมือนเศรษฐกิจไทยจะได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุด หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยตัวเลขการขายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ติดลบหนักถึง 4.3% ขณะที่ผลผลิตรวมก็ลดลงถึง 22.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวถือว่าแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ บ่งชี้ว่าไทยอาจเป็นประเทศที่เผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยที่เลวร้ายที่สุดในเอเชียท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน


 


มูดี้ส์ระบุว่า เหตุที่ตัวเลขในไตรมาสที่ 4 ของไทยย่ำแย่อย่างหนักมีสาเหตุจากราคาสินค้าเกษตร รวมถึงปริมาณการส่งออกที่ลดลง โดยเฉพาะสินค้าชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศซึ่งนำไปสู่การยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองในเดือนพฤศจิกายนยังส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้จำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน รวมถึงการลดการลงทุนของนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศในไทย


 


"นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติลังเลไม่กล้าเข้ามาลงทุนในประเทศด้วย" มูดี้ส์ระบุ


 


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายกลังการประชุมคระรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี กรณีที่บริษัท มูดีส์ ระบุแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะแย่ที่สุดในทวีปเอเชีย ว่า เขาใช้อะไรวัด วัดอย่างไร เพราะเท่าที่ดูตัวเลขต่างๆ ไม่เห็นว่าจุดไหนจะมีปัญหาเป็นพิเศษ เพราะบางเรื่องใกล้เคียงกับที่อื่น แต่บางเรื่องน้อยกว่าที่อื่นด้วยซ้ำ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายกับภาวะเศรษฐกิจโลกแบบนี้ มีบางสำนักก็บอกว่าประเทศไทยจะดีกว่าที่อื่น เพราะตัวเลขจีดีพี ติดลบร้อยละ 4.3 ก็เป็นตัวเลขของปีที่แล้ว ส่วนไตรมาสแรกปีนี้อาจจะแรงกว่านิดหน่อย แต่ตั้งใจว่าไตรมาสที่สองของปีนี้ อัตราที่ติดลบจะต้องลดลง และพลิกกลับมาให้เป็นบวกให้ได้ และก่อนสิ้นปีจีดีพีจะต้องเป็นบวก


 


นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยังไม่ขอชี้แจงกรณีมูดี้ส์ เพราะยังไม่รู้รายละเอียด แต่ยืนยันว่ารัฐบาลมั่นใจในโครงสร้างเศรษฐกิจ รู้จุดอ่อนและจุดแข็งเป็นอย่างไร และมีมาตรการแก้ปัญหาที่เป็นจุดอ่อนแล้ว


 


นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการ สำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า สบน.ได้สอบถามมูดี้ส์เกี่ยวกับการออกบทความดังกล่าว ซึ่งได้รับคำชี้แจงว่า เป็นการวิเคราะห์ตามตัวเลขเศรษฐกิจที่ สศช. แถลงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่มูดี้ส์ยืนยันว่าจะยังไม่ปรับอันดับความน่าเชื่อถือ (เรตติ้ง) ของไทย ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับเทียบเท่า BBB+ Negative Outlook และยังคงประมาณการอัตราเติบโตปีนี้ที่ 0.5%


 


"ที่มูดี้ส์ออกบทความครั้งนี้เพราะเห็นว่ามีตัวเลขการส่งออกที่ติดลบมาก และสศช.แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราเติบโตเศรษฐกิจไทยพอสมควร แต่มูดี้ส์บอกกับเราว่ายังเชื่อว่าเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไทยยังพอรับมือได้เนื่องจากการเมืองในไทยยังนิ่งอยู่ แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองบ้าง แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร" นายพงษ์ภาณุ กล่าวและว่า มูดี้ส์ยืนยันว่าสถานะของไทยขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจและอันดับความน่าเชื่อถือ โดยจะมีการพิจารณาการจัดอับดับเครดิตในเดือนมีนาคมนี้


 


 


นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.กำลังจับตามองสถานการณ์การส่งออกช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากในเดือนมกราคม ติดลบถึง 26.5% หากการส่งออกติดลบต่อเนื่องจนถึงกลางปีนี้ก็มีแนวโน้มสูงมากที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 0-2% ที่สศค.เคยประมาณการไว้ โดยจะรอดูตัวเลขการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ก่อนที่จะทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ในเดือนมีนาคมนี้


 


นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม. ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2551 และภาวะเศรษฐกิจปี 2552 โดยระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกหน่วยงานต้องช่วยเหลือกันแก้ปัญหา โดยตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 และ 2 ปีนี้คาดว่าจะติดลบ แต่ไตรมาสที่ 3 น่าจะติดลบน้อยลง และไตรมาสที่ 4 เชื่อว่าจะกลับมาเป็นบวก 0-1%


 


แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม.กล่าวว่า นายกฯได้ย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวข้องให้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ 2552 และ 2553 ให้เร็วที่สุด รวมทั้งกำชับการใช้จ่ายงบเพิ่มเติมกลางปี 2552 จำนวน 1.167 แสนล้านบาท ไม่ให้เกิดการรั่วไหลและให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทส โดยคาดว่าเม็ดเงินงบประมาณจะออกสู่ระบบปลายไตรมาส 3-ไตรมาส 4 ปีนี้ ทำให้เชื่อว่าจีดีพีไตรมาส 4 ที่เม็ดเงินลงไปเต็มที่แล้วน่าจะอยู่ที่ 0% หรือกลับเป็นบวกได้


 


นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ดีที่สุดคือ ติดลบ 1% หรือไม่ขยายตัว แต่หากงบฯกลางปีไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่รัฐบาลตั้งเป้า ไม่สามารถชะลอการลดลงของการส่งออกและติดลบเป็นเลขสองหลัก และรัฐบาลไม่สามารถเป็นตัวนำภาคเอกชนในการลงทุนโครงการต่างๆ รวมถึงรายได้ภาคการท่องเที่ยวปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นไปได้สูงที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยติดลบ 4-5% ตามที่นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีคาดการณ์ไว้


 


"ผมมองว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะหดตัว 2-3% เพราะการส่งออกน่าจะหดตัวมากกว่า 10% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นรัฐต้องเร่งช่วยเหลือ โดยเฉพาะต้องใช้งบฯกลางปีอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าทำให้วูบวาบหรือเน้นการแจกเงินครั้งละ 500-2,000 บาท เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด เมื่อมีการใช้จ่ายเงินไปแล้วจนหมด เศรษฐกิจจะตกลงมาเหมือนเดิมและกลายเป็นดาบสองคม ที่อาจกระทบต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศได้" นายสมภพกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net