21 มี.ค. 52 - นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง  กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะเดินทางไป กกต.เพื่อยื่นเรื่องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีรับเงินจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ให้ข้อมูลกับ กกต. ว่า หาก ร.ต.อ.เฉลิมและพรรคเพื่อไทย จะมายื่นเรื่องยัง กกต. ก็ไม่มีข้อขัดข้อง สามารถยื่นได้แม้เป็นประเด็นที่ดีเอสไอได้ยื่นเข้ามาแล้ว ซึ่งหาก กกต. พิจารณาเห็นว่าเป็นอำนาจของ กกต. และเป็นเรื่องเดียวกันก็คงเอาสำนวนมารวมกัน แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่า พรรคเพื่อไทยจะมีประเด็นอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะเท่าที่ดูจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร ก็พบว่ามีประเด็นคล้ายๆ กัน ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยมีอะไรเพิ่มเติมก็ต้องเสนอมา

นางสดศรี กล่าวว่า ตนมีข้อสงสัยว่าเหตุใดดีเอสไอจึงเพิ่งจะส่งเรื่องมาให้ กกต. ทั้งที่ได้รับคำร้องมาตั้งแต่ปี 2551 เมื่อดีเอสไอ เห็นว่าคำร้องมีประเด็นเกี่ยวกับพรรคการเมือง ก็ควรจะส่งมาให้ กกต.ตั้งแต่แรก แต่กรณีนี้กลับกลายเป็นว่าดีเอสไอสอบสวนเสร็จแล้วเพิ่งจะมายื่นให้ กกต.

นางสดศรี ระบุด้วยว่า สัปดาห์หน้าจะแจ้งให้ดีเอสไอส่งตัวแทนมาเป็นพยานในการเปิดกล่องเอกสาร เพราะดีเอสไอไม่ได้ส่งบัญชีเอกสารซึ่งต้องระบุว่ามีอะไรบ้างที่ส่งมาให้ กกต. ทางกกต. จึงต้องการป้องกันเหตุที่จะมีปัญหาภายหลังว่าเอกสารที่ กกต. มีอยู่ไม่ตรงกับที่ดีเอสไอส่งมา

ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยจะไปยื่นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในประเด็นเดียวกับที่ดีเอสไอส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่า เท่าที่ตนทราบ ดีเอสไอไม่ได้ยื่นมาในลักษณะที่เป็นคำร้อง แต่เป็นการส่งหลักฐานมาให้ในฐานะที่ดีเอสไอเป็นหน่วยงานราชการ ซึ่งขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้ดูในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ได้รับทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่า ร.ต.อ.เฉลิม จะมายื่นในลักษณะเป็นคำร้องขอให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งตนเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยคงจะมายื่นให้นายทะเบียนพรรคการเมืองหรือฝ่ายกิจการพรรคการเมือง เพราะฝ่ายสืบสวนสอบสวนเน้นการรับเรื่องร้องเรียนกรณีทุจริตเลือกตั้งทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ทั้งนี้ เมื่อมีการรับเรื่องแล้วจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อหรือไม่ คงต้องผ่านมติที่ประชุม กกต. ก่อน

ด้าน พ.ต.อ.ณรัตน์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และโฆษกดีเอสไอ กล่าวถึงการส่งเอกสารไปให้กกต.ว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดว่า การส่งเอกสารดังกล่าวเป็นรูปแบบคำร้องให้กกต.พิจารณาหรือเป็นเพียงการส่งหลักฐานเท่านั้นเพราะตนไม่ใช่พนักงานสอบสวน สำหรับข้อสงสัยว่าเหตุใดไม่ส่งเรื่องให้ กกต.ตั้งแต่รับเรื่องเมื่อปี 2551 นั้น ตนคาดว่าประเด็นในส่วนที่เกี่ยวโยงกับพรรคการเมือง อาจมีการมาพบหลังจากที่ได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงในความผิดเกี่ยวกับ  พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2535 ซึ่งมีผู้มาร้องทุกข์เมื่อปี 2551 โดยให้เบาะแสว่ามีบริษัทที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งภายหลังจากดีเอสไอตรวจสอบแล้ว จึงพบว่าอะไรเป็นอะไร และเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองหรือไม่ ส่วนกรณี กกต.จะขอให้ตัวแทนจากดีเอสไอไปเป็นพยานในการเปิดกล่องเอกสารนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่อง แต่หากมีการขอมาจริง ทางดีเอสไอก็ไม่มีปัญหา เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยงานราชการ ต้องให้ความร่วมมือกับองค์กรอิสระ เพื่อประโยชน์ในการทำงาน    

เปิดทาง พรรคเพื่อแผ่นดิน ร้องคัดค้านกันเองให้เต็มที่-ระบุปัญหาแตกกันเอง บางคนอยากให้พรรคถูกยุบ

นอกจากนี้นางสดศรี สัตยธรรม ได้ กล่าวถึง กรณีนายนพดล พลซื่อ ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อแผ่นดิน ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้มีการยุบพรรคหรือไม่ ว่ากรณีดังกล่าวต้องนำเข้าที่ประชุม กกต. เพราะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาสถานการเป็นกรรมการบริหารพรรคของนายนพดลว่า การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดิน มีผลเมื่อใด ระหว่างการมีผลตามกฎหมายทันทีที่ทางพรรคได้แจ้งนายทะเบียน หรือมีผลตามกฎหมายตอนที่นายทะเบียนตอบรับ ซึ่งกรณีตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นนั้น บางกรณีมีผลตามกฎหมายนับตั้งแต่มีการการแจ้ง เช่น กรณีที่มีการเสียชีวิต ไม่จำเป็นต้องรอให้นายทะเบียนตอบรับ

นางสดศรี กล่าวด้วยว่า การวินิจฉัยเรื่องพรรคเพื่อแผ่นดิน ต้องดูด้วยว่ากลุ่มต่างๆ ภายในพรรคเพื่อแผ่นดินเอง จะมีเรื่องร้องคัดค้านมาอีกหรือไม่ เพราะบางคนมีประเด็นที่ต้องการให้ยุติพรรคดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ทราบดีแล้วว่าในพรรคเพื่อแผ่นดินมีการแตกกัน วันนี้โหวตในสภาก็มีการโหวตให้คะแนนรัฐบาล ทั้งๆ ที่พรรคอยู่คนละขั้ว เรื่องนี้คงต้องพูดกันอีกยาว