Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์


ผู้ประสานงานชุดโครงการ MEAs Watch สกว.ฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ



30 มีนาคม 2552


 



 


ในเดือนตุลาคมปี 2551 ได้มีการเผยแพร่ร่างกฎหมายของสหรัฐเกี่ยวกับการจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องโลกร้อนต่อสาธารณะ เป็นร่างกฎหมายที่ร่วมกันจัดทำและนำเสนอโดยสมาชิกรัฐสภาของสหรัฐ 2 คน คือ นาย John Dingell จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการพลังงานและการพาณิชย์ (E&C) และนาย Rick Boucher จากพรรครีพลับบลีกัน และเป็นประธานอนุกรรมาธิการด้านพลังงานและคุณภาพอากาศ ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมาธิการ E&C ทั้งสององค์กรมีหน้าที่หลักในด้านการออกกฎระเบียบเพื่อกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงเรียกกันทั่วไปว่า Dingell-Boucher Draft


 


เนื้อหาส่วนหนึ่งในร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการปรับแก้ไขกฎหมาย Clean Air Act ของสหรัฐ เพื่อจัดตั้งระบบการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า Cap-and-Trade Program โดยในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 จนถึง 2050 สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ (EPA) จะประกาศกำหนดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่อนุญาตให้ปล่อยได้ ซึ่งจะมีปริมาณลดลงทุกปี ในการกำหนดปริมาณก๊าซที่อนุญาตให้ปล่อย EPA อาจทำได้โดยการจัดสรรให้กับประเภทอุตสาหกรรมหรือกิจการที่เฉพาะเจาะจง หรือโดยการเปิดให้มีการประมูลซื้อ-ขาย


 


เป้าหมายหลักของกฎหมายฉบับนี้ คือ การลดปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐให้ลดลงต่ำกว่า 80% จากปริมาณที่ปล่อยในปี 2005 ให้เกิดผลสำเร็จภายในปี 2050 โดยเริ่มจากเป้าหมาย 6% ภายในปี 2020 เพิ่มเป็น 44% ภายในปี 2030 และเพิ่มเป็น 80% ในปี 2050 ทั้งหมดนี้จะครอบคลุมก๊าซเรือนกระจก 88% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยอยู่ในประเทศสหรัฐ


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาในด้านต้นทุนของลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในร่างกฎหมายจึงได้อนุญาตให้มีการขายคาร์บอนเครดิตแบบสมัครใจ (Carbon Offset) ซึ่งอาจดำเนินการภายในประเทศสหรัฐหรือระหว่างประเทศก็ได้ ในร่างกฎหมายได้กำหนดรายละเอียดของสัดส่วน Carbon Offset ไว้ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ระหว่างปี 2012-2024 อาจดำเนินการลดก๊าซโดยใช้กิจกรรม Carbon Offset ได้เป็นสัดส่วน 30% โดยสามารถดำเนินการในระหว่างประเทศได้ 15 %


 


ตรงส่วนนี้จึงเป็นจุดหนึ่งของการเชื่อมต่อระหว่างกิจกรรมของสหรัฐกับประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย โดยในร่างกฎหมายได้กำหนดบัญชีประเภทกิจกรรมเริ่มต้นที่สามารถทำ Carbon Offset ได้ เช่น การทำเหมืองถ่านหินใต้ดิน การกำจัดขยะแบบฝังกลบ การลดก๊าซมีเทนจากมูลสัตว์ การปลูกหรือฟื้นฟูสภาพป่า เป็นต้น ทั้งนี้ทาง EPA จะมีอำนาจในการประกาศเพิ่มประเภทกิจกรรมในบัญชีได้อีก


 


กลไกอีกส่วนหนึ่งของ Dingell-Boucher Draft ที่จะมีผลกระทบเชื่อมโยงมาสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน คือ กลไกที่จัดตั้งขึ้นมาจากข้อพิจารณาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) โดยในร่างกฎหมายให้มีการจัดตั้ง International Reserve Allowance (IRAs) Program และ International Climate Commission (ICC) ขึ้นมา


 


ทาง ICC จะทำหน้าที่จัดทำบัญชีรายการประเทศและสินค้าที่ผลิตโดยใช้พลังงานสูงและค้าขายในตลาดระหว่างประเทศ ผู้นำเข้าสินค้าที่อยู่ในบัญชีดังกล่าวจะต้องยื่นแสดงปริมาณ IRAs เพื่อไปทดแทนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการผลิตสินค้าที่นำเข้าสหรัฐ แต่หากเป็นสินค้าที่มิได้อยู่ในบัญชีรายการก็ไม่ต้องดำเนินการตามข้อกำหนดข้างต้น ประเทศที่อยู่จะนอกบัญชีรายการดังกล่าวได้ จะต้องมีการดำเนินงานควบคุมและลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเหมาะสม (Comparable Action) ซึ่งพิจารณาตัดสินโดย ICC หรือเป็นประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) หรือเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เกิน 0.5 % ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งโลก


 


ร่างกฎหมายในลักษณะคล้ายกันนี้ได้เคยนำเสนอต่อวุฒิสภาสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2551 ได้รับเสียงสนับสนุน 48 เสียง ไม่สนับสนุน 36 เสียง ทั้งนี้ มีวุฒิสมาชิกอีก 6 คนที่ประกาศสนับสนุน แต่ไม่สามารถมาเข้าร่วมประชุมได้ (รวมทั้งนายโอบามา) ตามกฎหมายของสหรัฐจะต้องมีเสียงสนับสนุน 60 เสียง จึงจะมีการพิจารณากฎหมายในขั้นต่อไปได้ ในครั้งนั้นเป็นยุคประธานาธิบดีบุช เสียงสนับสนุนขาดไปเพียง 6 เสียง (หากนับรวมผู้สนับสนุนแต่ไม่ได้มาประชุม) ในยุคประธานาธิบดีโอบามา ความเปลี่ยนแปลง (Change) จึงมีโอกาสสูงอย่างยิ่ง


 


 


ที่มา: เว็บไซต์ โครงการพัฒนาความรู้และยุทธศาสตร์ความตกลงพหุภาคีระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม


http://www.measwatch.org/autopage/show_page.php?t=19&s_id=93&d_id=93

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net