ตาเหลืองพร่าไปหมด ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครชาติไหน ต่างก็ต้องรู้สึกทึ่งในพลังความจงรักภักดีที่คนไทยแสดงถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในมหามงคล ครบรอบ 60 ปี 9 มิถุนายน วันขึ้นครองราชย์ ทำเอาเสื้อสีเหลืองขาดตลาด และคนไม่มีปัญญา ไม่มีเวลาไปหาซื้อ กลายเป็นคนแปลกแยกไปอย่างช่วยไม่ได้
ลำโพงหน้าธนาคารแห่งหนึ่งที่จัดงานเฉลิมฉลอง ส่งคลื่นเสียงเหน็บแนม คนที่ไม่ได้ใส่เสื้อสีเหลืองแบบคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ กระทาชายนายนั้นบังเอิญไม่ได้ใส่เสื้อเหลือง อดบ่นให้ฟังไม่ได้ว่า "อะไรกัน ไม่ได้ใส่แค่วันเดียว วันนั้นกลายเป็นไม่จงรักภักดี" ไปๆ มาๆ ความจงรักภักดีแบบนี้กลายเป็นการสร้างหรือยัดเยียดให้เกิดความไม่จงรักภักดีกับคนจำนวนหนึ่งไปได้อย่างไร เราบ่นกันว่า "หยุดบอกว่าตัวเองจงรักภักดี ด้วยการชี้หน้าตราคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีเสียที"
ใช่ครับ ผมนึกถึง "ปฏิญญาฟินแลนด์" ที่ออกมาในช่วงสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ไม่ต้องสงสัยเลย คนที่เสนอเรื่องนี้เข้าสู่สังคม รวมไปถึงคนที่รับรองเรื่องเหล่านี้ จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เหมือนที่คุณ
ผมนึกถึงเรื่องชายแดนใต้ ข่าวรายงานของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ที่เสนอแผนการดับไฟใต้ เงียบกริบ ทั้งๆ ที่เรื่อง "ชายแดนใต้" เป็นเรื่องที่ทำให้พระองค์ทุกข์มากกว่าเรื่องใดๆ ชะตากรรม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถูกทำให้เป็นอื่นเสมอมา เพียงเพราะสีขาวที่อยู่ในธงไตรรงค์ของเขา เป็นคนละเฉดสีกับสีขาวในธงไตรรงค์ของคนที่เหลือ
มีตั้งหลายเหตุผลที่ทำให้ผมชื่นชมกับการใส่เสื้อเหลือง แต่ก็มีตั้งหลายเหตุผลที่เราไม่อาจใส่เสื้อเหลือง หนึ่งในนั้นเพราะ "เสื้อเหลือง" ราคาถีบตัวขึ้นสูงมากจาก "พลังความจงรักภักดี" ก็ในเมื่อเรารักในหลวงเพราะพระองค์ทรงครองธรรม ผมจึงไม่ใส่เสื้อเหลืองตราบใดที่ "ราคายังไม่เป็นธรรม"