ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2552

ในประเทศ

 

โปรดเกล้าฯ"ศุภชัย โพธิ์สุ"นั่งรมช.เกษตรฯแล้ว

เว็บไซต์สยามรัฐ : พระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2551 แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรี เพื่อบริหาราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2551 และประกาศครั้งสุดท้าย ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 นั้น บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่าง เพื่อความเหมาะสม และบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายศุภชัย โพธิ์สุ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เป็นปีที่ 64 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

อนุกก.ฯเสนอ4ประเด็นปฏิรูป

มติชนออนไลน์ : นาย ประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการปฏิรูปการเมือง กล่าวว่า จะรายงานผลการศึกษาต่อคณะกรรมการสมานฉันท์ฯในวันที่ 2-4 มิถุนายน ใน 4 ประเด็นของการปฏิรูปการเมือง คือ 1.โครงสร้าง ทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจตามรัฐธรรมนูญ อาทิ องค์กรตามรัฐธรรมนูญในเรื่องบทบาทอำนาจหน้าที่ ที่มา การปฏิบัติหน้าที่ หรือที่มาของกรรมการองค์กรอิสระอาจต้องเชื่อมโยงกับประชาชน ส่วนพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องพัฒนาให้เข้มแข็ง เช่น การบริจาคเงินให้พรรค หรืออาจไม่ต้องให้ผู้มีสิทธิลงสมัครเลือกตั้งสังกัดพรรค 2.วัฒนธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจ สังคมไทย 3.หลักกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาให้สังคมเป็นนิติรัฐ และ 4.บทบาททางการเมืองของภาคส่วนต่างๆ ที่สอดคล้องกับการส่งเสริมประชาธิปไตย เช่น ภาคพลเมือง ภาคการเมือง ภาครัฐ ภาควิชาการ   

  
"แนวทางการดำเนินการปฏิรูป 3 ข้อ คือ 1.ให้ ศึกษาโครงสร้างรัฐธรรมนูญและกฎหมายในประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และที่กระทบต่อสังคมเศรษฐกิจซึ่งเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาการเมือง และอาจนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา 2.ให้มี องค์กรรับผิดชอบด้านเผยแพร่ความรู้ประชาธิปไตยผ่านระบบการศึกษาและ ระบบอื่นๆ เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยแก่เยาวชนและชุมชน อันเป็นพื้นฐานการปฏิรูปการเมือง 3.ควรตั้งสภา ปฏิรูปการเมืองแห่งประเทศไทย และกรณีต้องแก้รัฐธรรมนูญก็ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยนำข้อดีข้อด้อยของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับมาเป็นแนวทางให้ได้รัฐธรรมนูญที่ เป็นประชาธิปไตย"นายประเสริฐกล่าว

 

ด้าน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต อนุกรรมการ กล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองคือการให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ อาทิ การเลือกตั้งที่เป็นธรรม รวมถึงการสร้างเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมที่เป็นประชาธิปไตย หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่ทุกคนมีเสรีภาพประกอบการและแข่งกันอย่างเป็นธรรม ผู้อ่อนแอกว่ารัฐต้องช่วยเหลือ เสริมสร้างความเสมอภาคทางสังคม เพื่อกันธนาธิปไตย และอำมาตยาธิปไตย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาหลายปี สังคมจึงต้องอดทน


ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุสรณ์ยังแจกบทความเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยความสมานฉันท์และ การปฏิรูป ซึ่งตอนหนึ่งมีการเสนอว่า ต้องปฏิรูปการเมือง โดยให้สมาชิกรัฐสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และให้เลือกนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตรง ทั้งนี้ การปฏิรูประดับโครงสร้างต้องให้เลือกตั้งสภาปฏิรูปประเทศเพื่อมาศึกษาข้อ เสนอการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน การคืนความเป็นธรรม หรือนิรโทษกรรมและนำเสนอให้รัฐสภาตัดสินใจเพื่อความสงบสุขของสังคม และเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 
 

เชิญแม่-เพื่อน"อภินพ"แจงเหตุตาย

การ ประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณดินแดง โดยมี พล.ต.ต.สุเทพ สุขสงวน ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ที่ประชุมเชิญเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางศิริมนต์ มาเพชร มารดา พลทหาร อภินพ เครือสุข พลทหาร ธงชัย สิมมา ทหารคนรับใช้ มาชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ ภายในบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 รอ. โดยอนุกรรมการพรรคเพื่อไทย ได้ซักถามถึงโรคประจำตัวของพลทหารอภินพ การเร่งรัดให้รีบเผาศพ 


นาง ศิริมนต์ชี้แจงว่า พลทหารอภินพไม่มีโรคประจำตัว แข็งแรงดีเพราะก่อนที่จะมาเป็นทหารรับใช้ สามารถขนของขึ้นภูที่ จ.เลย ได้ไม่มีปัญหา ส่วนกรณีเร่งรัดเผาศพยอมรับว่ามีทหารจาก จ.ปราจีนบุรี แต่ไม่รู้จักชื่อและยศ โดยคุยทางโทรศัพท์สอบถามว่าเผาศพหรือยัง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างชี้แจงของพลทหารธงชัย มีนายทหารพระธรรมนูญ 3 นาย นำโดย พ.อ.วีระพันธ์ ปูรณะโชติ เข้าห้องประชุมด้วย ทำให้นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ เพื่อไทย ทักท้วงว่า นำพลทหารธงชัยมาชี้แจง เป็นไปตามอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่การสอบสวนผู้ต้องหา อยากให้พลทหารธงชัยชี้แจงอย่างอิสระ โดยไม่มีนายทหารพระธรรมนูญร่วมรับฟัง แต่ฝ่ายทหารพระธรรมนูญ ไม่ยินยอมและอ้างว่ามีหน้าที่ต้องมานั่งฟังด้วยเพราะได้รับมอบหมายจากผู้ บังคับบัญชา ต่างฝ่ายต่างไม่ยินยอม นายวรวัจน์ ได้ขอให้มีการประชุมลับกว่า 20 นาที


ด้าน พล.ต.ต.สุเทพเปิดเผยว่า การซักถามพลทหารธงชัยในที่ประชุมลับ ยอมรับว่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อข้อสงสัยของคณะอนุกรรมการมากนัก เพราะพลทหารธงชัย ยืนยันเพียงว่าพลทหารอภินพ ลื่นล้มในห้องน้ำจริง หลังจากนั้นมานอนก็บ่นว่า ปวดหัว พลทหารธงชัย จึงไปซื้อยาแก้ปวดมาให้กิน 2 เม็ด ก็เท่านั้น ขณะที่ข้อสงสัยเกี่ยวกับการลื่นล้ม พลทหารธงชัยระบุว่า ห้องน้ำอยู่ระหว่างการปรับปรุง มีคนงานซ่อมห้องน้ำมาร่วมใช้ด้วยจำนวนมาก จนเกิดคราบสบู่ทำให้ลื่นล้มได้ และพลทหารธงชัยยืนยันว่า ไม่มีการทะเลาะหรือทำร้ายกัน


ทีมรปภ.ยันนายกฯไม่ได้เปลี่ยนรถ

คณะ อนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย มีนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ทำหน้าที่ประธานการประชุม เชิญ พ.ต.ท.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม หัวหน้าทีมบังคับรถนำขบวนนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจงและให้ข้อมูล โดย พ.ต.ท.ดำรงศักดิ์ ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย และยืนยันว่าเป็นผู้ส่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นรถประจำตำแหน่ง ก่อนที่จะวิ่งตามรถเพื่อเตรียมขึ้นรถนำขบวนออกจากกระทรวงแต่ไม่สามารถออกไป ได้สะดวก เนื่องจากติดกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจนต้องวนรถภายในกระทรวง 1-2 รอบ ก่อนที่รถนายกฯ จะวิ่งฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมออกไปได้เพียงคันเดียว ขอยืนยันว่าไม่ได้เปลี่ยนรถอย่างแน่นอนเพราะได้หารือกันระหว่างทีม รปภ.แล้วเชื่อว่ารถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีความปลอดภัยสูงสุด


พ.ต.ท. ดำรงศักดิ์กล่าวว่า ขณะที่ตนยืนอยู่ข้างรถนายกรัฐมนตรีได้ยินเสียงปืนพกดังขึ้นใกล้รถนายก รัฐมนตรี และคาดว่าเป็นการยิงขู่เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่ตึงเครียด ทราบภายหลังว่าผู้ยิงคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เสียงปืนจากทีม รปภ.ของนายกฯเพราะได้ตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีการชักปืนยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งตนหนีออกจากกระทรวงภายหลังที่รถนายกฯออกจากกระทรวงแล้ว เพราะได้ยินเสียงประกาศจากแกนนำปลุกระดมให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปภายใน กระทรวงโดยแกนนำอ้างว่าทหารฆ่าผู้ชุมนุมแล้วเก็บศพไว้ในกระทรวง


ต่อ มาคณะอนุกรรมการฯเชิญนายไพฑูรย์ รักษ์บ้านเกิด คนขับรถนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจงว่า นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ นั่งอยู่ในรถคันที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมบุกทุบทำลายจริง และไม่มีใครลงก่อนที่รถจะแล่นออกจากกระทรวง เนื่องจากรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกันกระสุนรอบคันและไม่สามารถเปิดประตู จากด้านนอกได้ ทั้งนี้กระจกรถด้านหลังและด้านข้างคนขับไม่สามารถเปิดได้เพราะเป็นกระจกที่ ปิดตาย และกระจกด้านคนขับเปิดได้แค่ครึ่งเดียวเพราะกระจกมีความหนามาก ขณะเกิดเหตุนายกรัฐมนตรีขอลงจากรถเพื่อเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่นายสุเทพได้ห้ามไว้ ทั้งนี้เมื่อสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นตนได้ตัดสินใจขับรถพุ่งชนประตูที่ปิด ตายอยู่ เนื่องจากเกรงว่าผู้ที่อยู่ในรถจะได้รับอันตรายถึงชีวิต 

 

"มาร์ค" ปูดมิ.ย.จะมีการเคลื่อนไหว เผาบ้านเผาเมือง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ "มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ นักธุรกิจจะช่วยได้อย่างไร" ที่สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยจัดขึ้น ที่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ โดยกล่าวท่อนหนึ่งว่า ถึงความคาดหวังที่มีต่อภาคเอกชน 4 ข้อ คือ 1.อยากให้ภาคเอกชนเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจโลก 2. อยาก ให้เอกชนช่วยสร้างบรรยากาศบ้านเมืองที่ดี ให้ประชาชนเห็นว่าบรรยากาศบ้านเมืองกลับเข้าสู่ความสงบแล้ว ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา เพราะทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนเป็นอย่างมาก



“วัน นี้อาจดูว่าบ้านเมืองของเรากลับเข้าสู่ความสงบแล้ว แต่คนที่ไม่ต้องการให้เกิดความสงบยังมีอยู่ ยังทำงานอยู่ ซึ่งภายในเดือนหน้าคนกลุ่มนี้ก็จะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง จึงอยากให้ช่วยกันไม่ให้สนับสนุนคนเหล่านั้น ในการกระทำผิดกฎหมายจนถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศที่ดี ซึ่งการช่วยเหลือกันครั้งนี้ ไม่ใช่การช่วยเหลือรัฐบาล แต่เป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ”



3.ภาคเอกชนจะต้องหาความพอดี ระหว่างการไม่ตื่นตระหนักและการไม่ประมาท และ 4. ภาค เอกชนต้องช่วยสอดส่องและให้ข้อมูลการทุจริต เพราะการทุจริตส่วนใหญ่มาจากคนสามฝ่าย คือนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ ซึ่งหากนักธุรกิจไม่ยอมให้เกิดการคอร์รัปชั่น นักการเมืองและข้าราชการก็ไม่สามารถเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ได้"นายกฯกล่าว

 

 เพื่อไทยแถลงจี้ สุเทพรับผิดชอบหลังศาลตัดสินร่วมกระทำผิดเลือก อบจ.สุราษฎร์

เว็บไซต์แนวหน้า : เมื่อเวลา 14.30 น.ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.และนายเกียรติอุดม  เม นะสวัสดิ์ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายชุมพล กาญจนะ และนายประพนธ์ นิลวัชรมณี ส.ส.สุราษฎร์ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงจริยธรรมทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อประชาชนตามที่รัฐสูญเสียเงิน ภาษีจัดการเลือกตั้งและจะต้องนำมาจัดการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุราษฎร์ธานี อีกรอบ  ภายหลังศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาให้บุคคลทั้ง 3 มีความผิดร่วมในเลือกตั้งที่ผ่านมา  โดย นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สิ่งแรกนายสุเทพควรลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ส่วนตำแหน่งรองนายกฯ แล้วแต่จะพิจารณาตัวเอง โดยตนจะส่งระเบียบและจริยธรรมทางการเมืองผ่านช่องทางรัฐสภาเพื่อส่งถึงนายสุ เทพ ต่อไป

 

นาย พร้อมพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ขอตั้งคำถามไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วยว่าการกระทำดังกล่าวขัดกับกฎเหล็ก 9 ข้อที่เคยประกาศไว้หรือไม่ และขอเรียกร้องไปถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงผู้ใหญ่ในพรรคว่าจะแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานและจริยธรรมทางการเมืองหรือ ไม่ อย่างไร เพราะพรรคประชาธิปัตย์มักพูดว่าตนเป็นสถาบันการเมือง ซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสมากกว่าคนอื่นมาโดยตลอด

 

ขู่ถอดถอนครม.มาร์คหากยังดันรถเมล์ฉาว

ASTV ผู้จัดการรายวัน : นาย สมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาได้ออกมาเรียกร้องให้ส.ส.กทม. ทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 30 คน และพรรคเพื่อไทย อีก 6 คน ร่วมตรวจสอบโครงการที่นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ดำเนินการขออนุมัติจัดซื้อรถเมล์ 4,000 คัน จากครม. โดยเห็นว่าหากปล่อยให้โครงการนี้ได้รับการพิจารณาอนุมัติ ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ใช้บริการขนส่งรถเมล์สาธารณะโดยเฉพาะงบประมาณของประเทศจำนวนมหาศาล ที่จะต้องจ่าย เฉพาะข่าวทุจริตการจัดซื้อนับหมื่นล้านบาทฃ

 

ทั้งนี้ เห็นว่า ทางออกการแก้ไขปัญหาการขนส่งมวลชนสาธารณะ น่าที่จะต้องให้หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบ และรู้ปัญหาการแก้ไขปัญหาจราจร อย่างกรุงเทพมหานคร รับไปดำเนินการเหมือนกับโอนย้ายตำรวจดับเพลิงมาสังกัด เพราะจะได้สะดวกต่อการบริหารแบบองค์รวม โดยขณะที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ก็เคยมีแนวคิดที่จะโอนย้ายองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.เข้าสังกัด แต่ติดอยู่ที่มีหนึ้ผูกพันจำนวนมหาศาล ซึ่งหากม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน มีความจริงใจแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่จะใช้รถเมล์สาธารณะ และแก้ปัญหาจราจรไปพร้อมกัน ก็จะต้องรับอาสาไปดำเนินการ และหากจะจัดซื้อรถเมล์เพิ่มแทนรถเก่าที่ชำรุด ก็ต้องดำเนินการจัดซื้อเฉพาะที่จำเป็น และเป็นรถที่ประกอบในประเทศไทยเท่านั้นเพราะจะเป็นการช่วยเหลือแรงงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อมกันด้วย

 

นาย สมชาย กล่าวว่าขณะนี้ทราบมาว่า ป.ป.ช.ภาคประชาชน กำลังเคลื่อนไหวที่จะเป็นผู้ยื่นแสดงเจตจำนง รวบรวมประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา164 เพื่อถอดถอนรัฐมนตรี และ ครม.ออกจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ต่อประธานวุฒิสภา หากครม.ยังจะคิดอนุมัติ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีข่าวการทุจริตเกิดขึ้นกับการจัดซื้อของโครงการนี้อยู่

 

ทำเอฟทีเอ 5 ชาติ ชี้ส่งออกเกินดุล

เว็บไซต์เดลินิวส์ : นาง นันทวัลย์ ศกุนตนาค รักษาการอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) 5 ประเทศ ในไตรมาสแรกปี 52 (ม.ค.-มี.ค.)ว่า ไทยมีมูลค่าการค้าเกินดุลใน 3 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซี แลนด์และอินเดีย แต่ยังขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น และจีน โดยภาพรวมมูลค่าการส่งออกปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจาก   ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ

 

สำหรับ มูลค่าการค้าทั้ง 3 ประเทศที่เกินดุลได้แก่การค้าไทย-ออสเตรเลียไทย ส่งออกมูลค่า 2,123.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.5% นำเข้ามูลค่า 665.8 ล้านเหรียญลดลง 36.3% เกินดุลการค้า 1,457.5 ล้านเหรียญ ส่วนการค้าระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ ไทยส่งออก 115.2 ล้านเหรียญลดลง 37% นำเข้า 61.4 ล้านเหรียญลดลง 70.7% เกินดุลการค้า 53.8 ล้านเหรียญและการค้าระหว่างไทย-อินเดีย  ไทยส่งออกมูลค่า 598.9 ล้านเหรียญลดลง 17% นำเข้ามูลค่า 352.3 ล้านเหรียญลดลง 42.6% เกินดุลการค้า 246.6 ล้านเหรียญ

 

ส่วนประเทศที่ขาดดุลการค้าคือ ไทย- ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 1,473.4 ล้านเหรียญ และไทย-จีนขาดดุลการค้า 381.7 ล้านเหรียญ

 

แผน จากนี้กรมจะเร่งรัดการใช้ประโยชน์ จากเอฟทีเอ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้มากขึ้น และเพิ่มดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าให้กลายเป็นบวก โดยเป็นสิ่งที่กรมฯ ได้ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดประชุมชี้แจงแก่ผู้ประกอบการในภาคต่าง ๆ แล้ว

 

กองทุนฟื้นฟูของบ2พันล.ซื้อหนี้เกษตรกร4,500ราย

ASTV ผู้จัดการรายวัน : นาง สมบุญ สุวรรณปัญญา ผู้แทนกลุ่มพัฒนาอาชีพเกษตรกร จากภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ พร้อมคณะเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อยืนหนังสือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.)

 

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้มารับหนังสือด้วยตัวเอง พร้อมกล่าวว่าเรื่องกองทุนฟื้นฟูฯเป็นเรื่องที่มีความวุ่นวายมาหลายปีแล้ว ปีนี้รัฐบาลตั้งใจว่าจะทำให้เรื่องของกระบวนการฟื้นฟูสามารถเดินหน้าได้ จริงๆ ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบกลางไปแล้ว 2 ครั้ง พร้อมกับได้ติดตามเรื่องนี้ แต่ทั้งนี้เห็นว่าเวลาที่ปฏิบัติก็อาจจะมีปัญหาขลุกขลักบ้าง

 

ผู้ แทนกลุ่มพัฒนาอาชีพเกษตรกร กล่าวด้วยว่า ภายหลังจากที่รศ.ดร. สังศิต มาทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการสำนักงานกฟก. สามารถดูแลการดำเนินการของกองทุนฯ ทั้งเรื่องภายในสำนักงาน และการฟื้นฟูดูแลจัดการแก้ปัญหาหนี้ให้กับเกษตรกรได้ถึง 4,000 รายในเวลา6-8 เดือนซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

 

ขณะ ที่นายสังศิต แถลงภายหลังนำคณะผู้บริหารกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีว่าได้ขอให้นายกฯ ช่วยดูแลเรื่องงบประมาณปี2553 ที่จะใช้ซื้อหนี้เอ็นพีแอลอายุ 6 ปี ของเกษตรกร ซึ่งนายกฯ ก็บอกว่าจะช่วยดูให้ แต่ต้องเข้าใจว่าขณะนี้รัฐบาลต้องลดงบฯลง แต่ทางกองทุนฟื้นฟู ก็ขอเพียงให้ได้งบฯ สำหรับซื้อหนี้มาตามที่มติครม.มีไว้ และขณะนี้รัฐบาลกำลังดูให้ ยังไม่ได้ปรับลด

 

ทั้งนี้ ได้เรียนให้นายกฯทราบถึงสถานการณ์ที่กลุ่มเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่ง ประเทศไทย มาขอตรวจสอบสถานะหนี้ของสมาชิกเครือข่าย 7,000 คน ซึ่งกองทุนฟื้นฟู ได้ตรวจสอบจนเสร็จและมอบเอกสารนั้นให้แก่เครือข่ายหนี้สินชาวนาฯไปตั้งแต่ เมื่อกลางเดือนเม.ย. และได้ขอร้องว่า หากมีอะไรขอให้พูดคุย และยินดีจะทำให้ทุกเรื่อง

 

อย่างไร ก็ตาม เครือข่ายหนี้สินชาวนาฯ ก็ยืนยันว่าจะเอาเกษตรกรมาตรวจสอบสถานะหนี้ ซึ่งเราก็ต้องให้เขาตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. และยืดเยื้อมาจนถึงวันที่ 29 พ.ค. เครือข่ายหนี้สินชาวนาฯได้ขอยุติการตรวจสอบสถานะหนี้ เพราะไม่มีอะไรจะตรวจสอบอีกแล้ว ซึ่งแสดงว่าเราทำงานให้เต็มที่แล้ว และนายกฯ ก็พอใจที่เราสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี

 

นอกจาก นั้นกองทุนฟื้นฟูฯได้ขอให้นายกฯ ช่วยอธิบายเรื่องนี้ผ่านทางรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ ในวันอาทิตย์ 31 พ.ค. และได้ขอให้สำนักนายกฯช่วยเป็นเจ้าภาพรับแจ้งเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรที่ ถูกหลอกลวงฉ้อโกง หรือถูกเรียกเงินค่าหัวคิว ซึ่งนายกฯ ก็รับปากที่จะดำเนินการให้ โดยหากสำนักนายกฯ เปิดให้รับเรื่องร้องทุกข์ ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาได้ และเป็นการสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรด้วย

 

ธปท.รับแทรกแซงค่าบาทชี้สัญญาณสินเชื่อเริ่มฟื้น

ASTV ผู้จัดการรายวัน : นาง อมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าไปดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยในระดับหนึ่ง โดยเห็นได้จากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทก็จะต้องดูให้เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ และคำนึงถึงภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะภาคการส่งออก ดังนั้น ธปท.จะแทรกแซงค่าเงินบาทให้อ่อนค่ามากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกด้านเดียวคงไม่ได้

 

ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการไหลเข้าเม็ดเงินจากต่าง ประเทศที่เข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมถึงไทย จึงทำให้สกุลเงินภูมิภาคปรับแข็งค่าขึ้นทั้งหมด รวมถึงการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่มีอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีเงินตราต่างประเทศเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งธปท.คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาส 4 เพราะมีการนำเข้ามากขึ้น

 

สำหรับ กรณีที่การประชุมร่วมคณะกรรมการภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ภาคเอกชนได้เรียกร้องให้ธปท.แยกการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราต่าง ประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นกับเงินตราต่างประเทศที่ผู้ส่งออกได้รับจาก การขายสินค้า นางอมรา กล่าวว่า ธปท.คงไม่สามารถจะแยกการดูแลเป็น 2 ตลาดได้ เนื่องจากตลาดการเงินไทยเป็นตลาดที่เสรี

 

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ธปท.ได้รายงานฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ระดับ 120,500 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 2,000 ล้านเหรียญ และสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอยู่ที่ 6,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นสัปดาห์ก่อน 1,700 ล้านเหรียญ ซึ่งเงินทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นเกิดจากธปท.เข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทด้วยการ ซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐล่วงหน้า เพื่อประคองไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป

 

นาง อมรากล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเปรียบเสมือนกับการตกลงไปในเหวแล้วพยายาม ตะเกียกตะกายขึ้นมา โดยช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจหดตัว แต่เมื่อพิจารณาเดือนต่อเดือนที่มีการปรับฤดูกาลแล้วล่าสุดเศรษฐกิจไทยเริ่ม มีสัญญาณดีขึ้นในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้คอยขยับขึ้นมาจากการที่ก่อนหน้านี้ตกไปแรง ฉะนั้น ภาครัฐควรมีมาตรการเข้ามาช่วย โดยเฉพาะการลงทุน เพื่อให้เศรษฐกิจคลายลงและผลักดันให้เอกชนกล้าลงทุน ดังนั้นขณะนี้สัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจยังช้าอยู่ จึงต้องใช้เวลา ประกอบกับการเมืองและเศรษฐกิจโลกยังไม่มีความแน่นอนอยู่ จึงต้องติดตามดูต่อไป

 

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจล่าสุดในเดือนเม.ย.ลดลงเหลือ 39.2 จากเดือนก่อน 40 ซึ่งเกิดจากในเดือนนี้มีวันทำการน้อยกว่าปกติ ประกอบกับความไม่สงบทางด้านการเมือง แต่หากมองไปอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 46.0 จาก 41.5 ในเดือนก่อน ตามคำสั่งซื้อที่สูงขึ้นและผลประกอบการที่ดี โดยเฉพาะผลประกอบการที่กลับมาอยู่ในระดับเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมยังคงลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 72.1 จากเดือนก่อน 72.8 ซึ่งเป็นการลดลงทุกรายการทั้งความเชื่อมั่นในปัจจุบันและอนาคต

 

สำหรับ เงินฝากขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 6% หากนับรวมการออกตราสารหนี้ประเภทตั๋วแลกเงินแล้ว เงินฝากขยายตัว 8.7% สะท้อนการย้ายเงินฝากไปสู่การลงทุนในตั๋วแลกเงินเพิ่มสูงขึ้น ด้านสินเชื่อภาคเอกชนขยายตัว 5.8%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามภาวะเศรษฐกิจและการชะลอสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจเป็นสำคัญ ขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือน พบว่า สินเชื่อภาคเอกชนเริ่มเพิ่มขึ้นเป็น 29.4 พันล้านบาท หลังจากหดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน โดยเป็นการขยายตัวจากสินเชื่อสถาบันการเงินภาครัฐเป็นสำคัญ โดยเฉพาะด้านการอุปโภคบริโภค

 

รัฐใช้งบร่วม 1,000 ล้านพลิกโฉมสนามบินอู่ตะเภาสู่อินเตอร์

ASTV ผู้จัดการรายวัน : เมื่อ เร็วๆนี้ ที่สำนักงานท่าอากาศยานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา-เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พล.ร.ต.สุรพงษ์ อัยสานนท์ รองผู้อำนวยการการท่าอากาศยานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมการขนส่งทางอากาศ การบินไทย และเมืองพัทยา เพื่อร่วมหารือแนวทางการพัฒนาสนามบินร่วมกัน

 

หลัง จากที่รัฐบาลและหลายฝ่ายเล็งเห็นว่า จำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างจริงจัง จากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนภาครัฐต้องหันมาใช้อู่ตะเภาแทนสนามบินหลักอย่างสุวรรณภูมิ และดอนเมือง โดยพบว่าประสพปัญหาในเรื่องของการให้บริการ สถานที่ และบุคลากรเป็นอย่างมาก

 

สำหรับ การประชุมครั้งนี้เป็นการนำเสนอแผนการพัฒนาในภาพรวมของสนามบินอู่ตะเภา โดยเฉพาะกรณีในโครงการที่ทางกองทัพเรือได้เสนอไปยังส่วนกลาง เพื่อขอจัดสรรงบประมาณจำนวน 995 ล้านบาท เพื่อนำมาดำเนินการก่อสร้างอาคารรองรับผู้โดยสารใหม่ ในงบประมาณจำนวน 600 ล้านบาท ซึ่งขยายพื้นที่จากเดิมในพื้นที่ 4,280 ตารางเมตร(ตร.ม.)เป็น 25,200 ตร.ม. ที่สามารถรองรับผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกได้จำนวนถึง 1,500 คน/ชั่วโมงหรือเพิ่มสัดส่วนการให้บริการจากเดิมเพิ่มขึ้นได้อีกถึง 100 %

 

ทั้งนี้ จะมีการจำลองรูปแบบของอาคารมาจากท่าอากาศยานจังหวัดพิษณุโลกมาจัดทำ เพียงปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในและอุปกรณ์บางอย่างให้มีความทันสมัย และสามารถใช้งานในการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินจำนวนมากได้โดยสะดวก รวมทั้งการก่อสร้างลานจอดแห่งใหม่เพิ่มเติม การจัดซื้อเครื่อง X-Ray การจัดสร้างโรงน้ำมันเชื้อเพลิง รถดับเพลิง และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์สูงสุดในปี 53-55 นี้

 

พล.ร.ต .สุรพงษ์ เปิดเผยว่าปัจจุบันสำหรับแผนงานการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นความดำริของภาครัฐที่เล็งเห็นว่าควรพัฒนาอู่ตะเภาให้เป็นพื้นที่สำรอง หากเกิดกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งจะได้มีการนำโครงการเสนอขอจัดสรรอย่างเป็นรูปธรรมภายในช่วงต้นเดือน มิถุนายนนี้

 

ใน ส่วนของการเตรียมความพร้อม จากการเจรจาร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ก็ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางอากาศเป็นผู้ดำเนินการออกแบบร่วมกับกรมการ ทหารช่างของกองทัพเรือ จากนั้นจะมีการร่าง TOR ก่อนนำเสนอบอร์ดการท่าอากาศยานเพื่อขอความเห็นชอบภายในระยะเวลา 2 เดือน และดำเนินการก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดว่าจะสามารถลงมือปฏิบัติการได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 และจะใช้เวลาในการก่อสร้างรวมแล้วจำนวน 540 วัน ซึ่งคาดว่าหากดำเนินการแล้วเสร็จก็คงจะเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อไป

 

กาชาดประกาศห้ามเกย์เซ็กซ์สำส่อนบริจาคเลือด

ASTV ผู้จัดการรายวัน : พญ.สร้อย สอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า คณะอนุกรรมการวิชาการในคณะกรรมการจัดหาและส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่ง สภากาชาดไทยได้ปรับเปลี่ยนแบบสอบถามในการคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตใหม่ให้เป็น มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยศูนย์บริการโลหิตฯส่วนกลางได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นกระดาษเอสี่ จากเดิมที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียว รวมทั้งเรื่องของอายุผู้บริจาคและมาตรการคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของทุก เพศ รวมถึงกลุ่มรักเพศเดียวกันด้วย ทั้งนี้จะเริ่มพร้อมกันภายในสิ้นปีนี้

 

ทั้งนี้ สภากาชาดฯได้ปรับเปลี่ยนแบบสอบถามของผู้บริจาคโลหิตให้มีความครอบคลุมมาก ขึ้น โดยเพิ่มเติมคำถามของพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ในข้อ 12 เป็น 4 ข้อย่อย โดยมิได้เฉพาะเจาะจงบุคคลหรืออาชีพใด ซึ่งหากผู้บริจาคโลหิตไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าอาจมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือคู่นอนของตัวเองมีพฤติกรรมเสี่ยงก็ จำเป็นต้องงดการรับบริจาคโลหิตอย่างถาวร และไม่แนะนำให้ปกปิดข้อมูล เพราะการบริจาคโลหิตเป็นการทำบุญกุศล ซึ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้รับโลหิตด้วย ไม่ใช่โยนให้เป็นหน้าที่ของสภากาชาดฯเพียงอย่างเดียว

 

กลุ่ม รักเพศเดียวกันที่ไม่เห็นด้วยกับแบบสอบถามที่ห้ามผู้รักเพศเดียวกันบริจาค โลหิต ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว โดยไม่ต้องนำแบบสอบถามที่ปรับปรุงใหม่นี้ไปให้ตรวจดูอีก เพราะแบบสอบถามฉบับนี้ครอบคลุมห้ามทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศโดยไม่ป้องกันให้ควรงดการบริจาคโลหิตแต่ไม่ได้ เจาะจงเพศหนึ่งเพศใด ซึ่งเราโยนความรับผิดชอบนี้กลับไปที่ทุกเพศ เพราะไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย หรือแม้แต่ชายรักหญิงที่มีคู่นอนหลายคู่ก็ต้องแนะนำว่าไม่ควรบริจาค เพราะถ้าสำส่อนโลหิตก็มีโอกาสติดเชื้อ ดังนั้นถ้าอยากบริจาคโลหิตก็ชักชวนผู้อื่นมาบริจาคก็ถือว่าเป็นการทำบุญเช่น กันพญ.สร้อยสอางค์ กล่าว

 

พญ.สร้อย สอางค์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังได้ปรับเปลี่ยนในส่วนเกณฑ์อายุของผู้บริจาค คือ ให้ผู้บริจาคโลหิตได้ 17-70 ปี จากเดิม 18-60 ปี แต่หากผู้มีอายุ17ปีแต่ไม่ถึง 18ปี จะต้องมีใบรับรองจากผู้ปกครอง เช่นเดียวกับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะต้องใบรับรองจากแพทย์ว่าสามารถบริจาคโลหิตได้

 

นอกจาก นี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่คัดกรองผู้บริจาคโลหิตได้สอบถามประวัติการ เดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วย เพราะหากเดินทางกลับมาภายใน 15 วัน แนะนำว่าให้งดบริจาคโลหิตก่อน เพื่อดูอาการป่วย แต่โรคดังกล่าวเป็นโรคระบาดที่มาเร็วไปเร็วอาการไม่ค้างอยู่ในผู้ป่วยนาน จึงไม่จำเป็นต้องระบุข้อคัดกรองในแบบสอบถามแต่อย่างใด

 

พญ.สร้อย สอางค์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ สภากาชาดไทยได้ตั้งเป้าในปี 2558 ให้จัดหาผู้บริจาคโลหิตด้วยความสมัครใจ 100% เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้สมัครใจมาบริจาคอยู่ประมาณ 93% ที่เหลือจะเป็นกรณีที่สถานพยาบาลไม่สามารถหาโลหิตได้ทัน จึงจำเป็นต้องมีการซื้อขาย โดยให้ค่าตอบแทนกับผู้ที่จะมาบริจาคให้ ซึ่งยอดในขณะนี้มีประมาณ 0.2% ส่วนการจัดหาผู้บริจาคโลหิตจากญาติของผู้ป่วยเองมีประมาณ 7-10 % ทั้งนี้จะต้องมาพิจารณาอีกครั้งว่า ในกรณีที่เป็นญาตินั้นเป็นญาติจริงหรือแอบมีการซื้อขายโลหิต โดยให้ค่าตอบแทนกับผู้มาบริจาค ซึ่งเป้าหมายของสภาฯคือการที่ไม่ต้องซื้อโลหิต รวมถึงการประกาศฉุกเฉินระดมผู้บริจาคโลหิตใดๆเลย แต่ต้องการให้มีผู้บริจาคโลหิตในคลังเลือดเพียงพอ และอยู่ในตู้แช่ของสถานพยาบาลอย่างพร้อมใช้งาน

 

อนึ่ง แบบสอบถามผู้บริจาคโลหิตที่เพิ่มเติม อาทิ ข้อ 12 พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 12.1 ท่านมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่ของท่านหรือไม่ 12.2 ท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน (เฉพาะเพศชาย) 12.3 คู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น 12.4 คู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน(ตอบเฉพาะเพศหญิงที่มีคู่เป็นชาย)

 

หวั่นเสียภาพลักษณ์ สั่งห้ามพระนอนโรงแรม

เว็บไซต์ไทยรัฐ : นาย อำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้รับทราบเรื่องกรณีกลุ่มพระที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เดินทางไปพักร้อนตากอากาศที่รีสอร์ต จ.ตราด ตามที่เป็นข่าวนั้น โดยที่ประชุมมหาเถรฯได้แสดงความเป็นห่วงต่อพฤติกรรมของพระสงฆ์กลุ่มดังกล่าว ซึ่งคาดว่า ส่วนใหญ่จะเป็นพระภิกษุหรือสามเณรที่มีวุฒิภาวะทางโลกน้อยทำให้ มิได้มีความระมัดระวังต่อการวางตัวให้เหมาะสมกับสมณสารูป

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมมหาเถรฯ ได้มอบหมายให้สำนักพุทธฯ ได้นำประกาศคณะสงฆ์เรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรพักแรมในสถานที่เป็นที่รังเกียจ ทางพระวินัยและทำหนังสือแจ้งไปที่เจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัดให้นำประกาศคณะ สงฆ์ดังกล่าว เน้นย้ำให้พระสังฆาธิการทั่วประเทศได้นำไปปฏิบัติและให้ช่วยกวดขันสอดส่อง ดูแลความประพฤติของพระภิกษุ-สามเณรในสังกัด อีกทั้ง ยังขอให้เจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัดได้ประสานขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ฝ่าย ปกครองในท้องที่ได้แจ้งเตือนไปยังเจ้าของสถานที่พักโรงแรมหรือรีสอร์ต ในพื้นที่รับผิดชอบให้ช่วยกันสอดส่องดูแล หากมีพระสงฆ์เข้าพักสถานที่นั้นๆให้แจ้งไปที่เจ้าคณะชั้นผู้ใหญ่ในท้องถิ่น ซึ่งอยู่ในเขตนั้นได้นำพาพระภิกษุเข้าไปจำวัดในวัดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทันทีเพื่อความเหมาะสม

 

"ประกาศ ของคณะสงฆ์เรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรพักแรมในสถานที่เป็นที่รังเกียจ ทางพระวินัยมีผลบังคับใช้มาตลอด แต่ในบางครั้ง พอไม่มีเหตุการณ์ความผิดเกิดขึ้นคำสั่งก็มักจะไม่ได้รับความสำคัญในแง่การ ปฏิบัติก็จะย่อหย่อนวินัยลงไปบ้าง ดังนั้นจำเป็นที่คำสั่งจะต้องได้รับการเน้นย้ำอยู่เป็นประจำส่วนในเรื่อง กรณีพระเดินทางไปพักร้อนที่รีสอร์ต จ.ตราด นั้นพระผู้ใหญ่ในที่ประชุมมหาเถรฯ ท่านเห็นว่าพระที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมน่าจะเป็นพระหรือสามเณรที่มีวุฒิ ภาวะน้อย อาจขาดความสำรวมไปบ้างตรงนี้ก็ขอให้เจ้าอาวาสทุกวัดช่วยดูแลสอดส่องกันด้วย" ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมกล่าว

 

นักวิชาการแนะให้ล้างมลทินคนติดคุก 1ปี

เว็บไซต์ไทยรัฐ : ที่ โรงแรมอเดรียติคพาเลส สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ (สท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง แนวทางการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้ด้อยโอกาส กลุ่มผู้พ้นโทษโดย มีผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เทศบาลเมือง องค์การบริการส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.) พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เรือนจำกลางจังหวัด คุมประพฤติจังหวัด จัดหางานจังหวัด ศูนย์พัฒนาสังคมจากจ.เพชรบุรี ลำพูน สุราษฏร์ธานี อุบลราชธานีรวม 120 คนเข้าร่วม

 

นาย กิตติ สมานไทย ผู้อำนวยการ สท.กล่าวในพิธีเปิดฯ ว่า กลุ่มผู้พ้นโทษที่กลับสู่สังคมมักประสบปัญหาการยอมรับทั้งจากครอบครัว สังคม การประกอบอาชีพ รวมถึงความมั่นคงในชีวิต เป็นผลให้กระทำผิดซ้ำ และกลับเข้าสู่เรือนจำอีก หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะที่เป็นภาระต่อครอบครัว ดังนั้นทุกภาคส่วนมีบทบาทในการหยิบยื่นโอกาสให้ผู้พ้นโทษเห็นคุณค่าในตัวเอง เพื่อปรับเปลี่ยนภาระเป็นพลัง สท.ได้ร่วมกับคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศึกษารูปแบบการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้ด้อยโอกาส กลุ่มผู้พ้นโทษ และนำรูปแบบที่ได้ไปทดลองปฏิบัติในพื้นที่นำร่อง เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสม ก่อนขยายผล ปี 2551 ทดลองนำร่องที่จ.ตราดและสมุทรสงคราม และปี 2552 ทดลองปฏิบัติในจ.เพชรบุรี ลำพูน สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี

 

ด้าน นายศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ.กล่าวถึงผลการวิจัย รูปแบบการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้ด้อยโอกาสเฉพาะกลุ่มผู้พ้นโทษว่า ระบบชุมชน สังคมรอบข้างโดยเฉพาะอบต.อบจ.เทศบาลมีส่วนสำคัญในการตระหนักรู้และช่วยเหลือ ทั้งการดูแลด้านจิตใจ การประกอบอาชีพ รวมถึงความร่วมมือจากวัดในการให้ที่พักชั่วคราว โดยให้พมจ.เป็นผู้ประสาน ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยศึกษา ถึงกลไกการรองรับกลุ่มผู้พ้นโทษอย่างเป็นระบบ ทั้งที่แต่ละปีมีผู้พ้นโทษออกมาเป็นหมื่น ทำให้จำนวนไม่น้อยกระทำผิดซ้ำและกลับเข้าสู่เรือนจำอีกนอกจากนี้ควรมีการจัด ทำข้อมูลตัวเลขที่แท้จริงถึงความต้องการช่วยเหลือ จากกลุ่มผู้พ้นโทษ

 

อ.คณะ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ.กล่าวอีกว่า คนในครอบครัวมีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจ เพราะผู้พ้นโทษมักมีปมด้อย ไม่เหลือศักดิ์ศรี เกินกว่าครึ่งของผู้พ้นโทษไม่ได้กระทำความผิดโดยสันดาน หากคนเหล่านี้ได้รับการดูแลที่เป็นระบบก็สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า นอกจากนี้การถูกกีดกันจากการประกอบอาชีพ และรับราชการ เป็นอีกสิ่งที่ควรปรับแก้ ในประเด็นคนที่ผิดเล็กน้อยจำคุกไม่เกิน 1 ปี หากพ้นโทษไปแล้ว 5 ปีโดยไม่กระทำผิดซ้ำ ควรจะล้างใบแดงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องรอ พ.ร.บ.ล้างมลทิน

 

นาย ศักดิ์ชัย กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ญี่ปุ่นมีประชากร 120 ล้านคน แต่มีผู้ต้องขังในเรือนจำเพียง 70,000 คน เนื่องจากมีกระบวนการของชุมชน และอาสาสมัครช่วยกันดูแลอย่างเป็นระบบ ขณะที่ไทยมีประชากรเพียงครึ่งหนึงของญี่ปุ่น ประมาณ 60 ล้านคน แต่มีผู้ต้องขังถึง 1.5 แสนคน สะท้อนถึงกระบวนการดูแลคนเหล่านี้ โดยเฉพาะหลังพ้นโทษอาจจะบกพร่อง

 

ตร.คุมนักเรียนชาย-หญิงในสวนสัตว์เกือบ100คนสอบสวนหลังชาวบ้านทนดูพฤติกรรมไม่ได้

เว็บไซต์สยามรัฐ : เจ้า หน้าที่สายตรวจ สน.ดุสิต ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าพบเห็นเด็กนักเรียนซึ่งคาดว่าน่าจะหนีเรียน มาเที่ยวภายในสวนสัตว์ดุสิต เป็นจำนวนมากจึงรุดไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงภายในสวนสัตว์ดุสิตพบเด็กนักเรียนสวมใส่เครี่องแบบนักเรียนและนอก เครื่องแบบ จำนวนหลายคน ทั้งหญิงและชาย อายุประมาณ 14-15 ปี บางคนกำลังปั่นเรือถีบ หลายคนมาเป็คู่   เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็พากันวิ่งหนี เจ้าหน้าที่สายที่สายตรวจจึงขอกำลังเสริมมาช่วยจับกุม

 

จากการปิดล้อม  เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวนักเรียนดังกล่าวเอาไว้ได้ จำนวนกว่า  70 คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนโรงเรียนสังกัดในกรุงเทพฯ จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำและทำประวัติก่อนจะประสานโรงเรียนต้นสังกัดและผู้ ปกครองมารับตัว

 

จากการสอบถามเด็กส่วนใหญ่ ให้การว่า เนื่องจากช่วงนี้เพิ่งจะเปิดเทอม ไม่ค่อยมีวิชาเรียนมากนัก  จึงชักชวนกันมาเที่ยวที่สวนสัตว์ เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศดี และเป็นที่ลับตาของเจ้าหน้าที่ ไม่เหมือนกับภายในห้าง  และ เหมาะแก่การพาแฟนมาเที่ยว จึงหนีเรียนมาโดยไม่ได้นัดกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากต่างโรงเรียนไม่ได้รู้จักกัน

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  จากการสอบถามทราบว่าเด็กที่หนีเรียน  ส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กจากต่างจังหวัดที่เดินทางมาเรียนในกรุเทพฯ และพักอาศัยอยู่กับญาติ  ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ ไม่เต็มใจมที่จะเรียนต่อ และอยากทำงานมากกว่าที่จะเรียนแต่ถูกผู้ปกครองบังคับ

 

ผวามาลาเรียดื้อยา

เว็บไซต์สยามรัฐ : สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า  ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติค้นพบหลักฐานสำคัญชิ้นแรกที่แสดงว่าเชื้อมาลาเรีย  มีการพัฒนากลายพันธุ์เป็นชนิดที่ดื้อยา จากการศึกษาในพื้นที่ตะวันตกของกัมพูชา  โดยเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์แบ่งกลุ่มศึกษาออกเป็น 2 ทีม ได้แก่สหรัฐฯ และอังกฤษ โดยผลการวิจัยที่ออกมาเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ    เชื้อมาลาเรียใช้ระยะเวลานานกว่าเดิมในการสลายตัว  หลังจากใช้ยาต้านซึ่งมีอยู่ในปัจจุบัน  ส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงว่า เชื้อมีการดื้อยาเกิดขึ้น ทั้งนี้  องค์การอนามัยโลก หรือฮู เคยออกมาเตือนเมื่อปี 2549 ให้เฝ้าจับตัวพัฒนาการของเชื้อมาลาเรีย    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ซึ่งเชื้อมาลาเรียนี้ เป็นสาเหตุให้ประชากรทั่วโลกเสียชีวิตถึงล้านคนทุกๆปี

 

สำหรับการค้นพบครั้งนี้ นับเป็นการจุดกระแสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตื่นตัวในการหามาตรการระวัง  และรองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบจัดการสาธารณสุขในกัมพูชาที่ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร ประกอบกับปัญหายาปลอมที่ยังคงแก้ไม่ตก

 

 

ต่างประเทศ

 

เจ้าพ่อสื่อเมอร์ด็อคระบุอนาคตนสพ.ต้องพัฒนาสู่ระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ

ASTVผู้จัดการรายวัน : เอเอฟพี เจ้าพ่อสื่อ รูเพิร์ต เมอร์ด็อค ประธานนิวส์ คอร์ป กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(28)ว่า อนาคตของหนังสือพิมพ์ก็คือการพัฒนาไปสู่ระบบหนังสือพิมพ์ดิจิตอล แต่อาจต้องใช้เวลา 10 ถึง 15 ปี ก่อนที่ผู้อ่านจะคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ

 

ระหว่าง การให้สัมภาษณ์ผ่านเครือข่ายโทรทัศน์ ฟ็อกซ์ บิสซิเนส เน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นกิจการหนึ่งของอาณาจักรนิวส์ คอร์ป เมอร์ด็อคชี้ด้วยว่า หนังสือพิมพ์ซึ่งกำลังเผชิญกับการลดลงของรายได้จากการโฆษณาและยอดจำหน่าย อาจต้องเริ่มคิดค่าธรรมเนียมการอ่านหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์จากผู้อ่าน ผ่านเว็บไซต์ในอนาคตอันใกล้นี้

 

ประธาน นิวส์ คอร์ป กล่าวว่า หนังสือพิมพ์ในอนาคตจะยังคงต้องพึ่งพารายได้จากผู้อ่านและจากค่าโฆษณาเหมือน เดิม แต่รูปแบบของหนังสือพิมพ์จะแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือ แทนที่จะเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ลงบนแผ่นกระดาษ ก็จะกลายเป็นตัวอักษรบนจอภาพหรือจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถรับหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับผ่านระบบการสื่อสารแบบใหม่ และจะเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีการอัปเดทข่าวทุก 1 หรือ 2 ชั่วโมงด้วย

 

เรื่องเหล่านี้มีความเป็นไปได้แน่นอน บริษัทธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์ส์หลายแห่งกำลังพัฒนาระบบกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีก 2 หรือ 3 ปีข้างหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน จากนั้นก็จะใช้เวลาอีกประมาณ 10 ถึง 15 ปีในการพัฒนาไปสู่ระบบดิจิตอลทั้งหมดเมอร์ด็อคบอก

 

ประธาน นิวส์ คอร์ป ซึ่งประกาศแผนจะคิดค่าธรรมเนียมจากผู้อ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ไปก่อนหน้านี้ แล้วกล่าวด้วยว่า ผู้อ่านคงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น นอกจากต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการอ่านหนังสือพิมพ์ผ่านเว็บไซต์ เพราะยุคของการอ่านข่าวออนไลน์ฟรีกำลังจะสิ้นสุดลง หนังสือพิมพ์ในอนาคตจะต้องขายสมาชิกในเว็บแทน และเว็บไซต์หนังสือพิมพ์จะเปลี่ยนรูปโฉมไปอีกมากทีเดียว

 

ต่อ ข้อถามถึงความเป็นไปได้ที่หนังสือพิมพ์จะขอความช่วยเหลือด้านการเงินจาก รัฐบาล เมอร์ด็อคกล่าวว่า นิวส์ คอร์ป จะไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะนั่นจะเป็นการทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือความเป็นสื่อสะท้อน ความเป็นจริงในสังคม และเขาเชื่อว่าเจ้าของหนังสือพิมพ์อื่น ๆ อย่างเช่น นิวยอร์กไทมส์ ก็คงไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเช่นเดียวกัน

 

ประธานนิวส์ คอร์ป วัย 78 ปี ประกาศเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า นิวส์ คอร์ป จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการอ่านหนังสือพิมพ์ในสังกัดทั้งหมดผ่านเว็บไซต์ ภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้

 

นิวส์ คอร์ป มีหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอยู่ในสังกัดหลายฉบับด้วยกัน อาทิ วอลสตรีทเจอร์นัล, นิวยอร์กโพสต์, ไทมส์ แห่ง ลอนดอน, เดอะ ซัน และ ดิออสเตรเลียน เป็นต้น โดยวอลสตรีทเจอร์นัล มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสมาชิกในระบบออนไลน์สำหรับเนื้อหาบางส่วนมานานปี แล้ว--จบ—

 

ยิงขีปนาวุธอีกลูก โสมแดงท้าทาย ยูเอ็นขู่คว่ำบาตร

เว็บไซต์ไทยรัฐ : สำนัก ข่าวต่างประเทศ รายงานวันนี้ (29 พ.ค.) อ้างเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่ง เปิดเผยว่า วันเดียวกันนี้ กองทัพเกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้อีก1ลูกจากฐานยิงแถบชายฝั่งด้าน ตะวันออกและว่าเป็นขีปนาวุธชนิดใหม่แบบภาคพื้นสู่อากาศ มีพิสัยยิงไกลถึง 260 กิโลเมตร

 

ขณะ ที่กระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือ แถลงเตือนว่าเกาหลีเหนือ จะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง หากถูกยั่วยุปลุกปั่นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งกำลังพิจารณา หามาตรการคว่ำบาตรเล่นงานเกาหลีเหนือรุนแรงขึ้น รายงานระบุว่า การยิงขีปนาวุธลูกล่าสุด นับเป็นการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ลูกที่6 ตั้งแต่เกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ใต้ดินลูกที่ 2 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

 

พบภูเขาไฟขนาดยักษ์อยู่ใต้มหาสมุทรอินเดีย

เว็บไซต์คมชัดลึก : คณะ นักวิทยาศาสตร์ที่ดำลงไปสำรวจพื้นมหาสมุทรเพื่อศึกษาถึงธรรมชาติการเกิด คลื่นยักษ์สึนามิ ได้ค้นพบภูเขาไฟขนาดใหญ่ใต้น้ำ บริเวณชายนอกฝั่งทางตะวันตกของอินโดนีเซีย โดยนายยูซุฟ สุรัชมาน ดีจาจา-ดีฮัจจา ผู้ชี่ยวชาญการสำรวจทางธรณีวิทยาทางทะเล จากสำนักประเมินและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ให้ความเห็นว่า ภูเขาไฟ ซึ่งมีความสูง 15,000 ฟุต และมีฐานกินพื้นที่เป็นระยะทาง 50 กิโลเมตร ถือเป็นการค้นพบที่คาดไม่ถึง ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า ภูเขาไฟลูกนี้มีการเคลื่อนไหวหรือไม่ แต่ถ้าเกิดการประทุขึ้นก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

 

ทีม นักวิทยาศาสตร์นานาชาติได้ค้นพบภูเขาไฟ อยู่ห่างไปทางตะวันตกของเกาะสุมาตราประมาณ 330 กิโลเมตร ขณะทำการสำรวจใต้ท้องมหาสมุทรอินเดีย เมื่อช่วงต้นเดือนและภูเขาไฟอยู่ต่ำจากผิวน้ำ 1,380 เมตร

 

เป้า หมายของการสำรวจใต้ทะเล ก็เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น ถึงสาเหตุของภัยธรรมชาติอย่างการเกิดสึนามิในเอเชีย เมื่อปี 2547 ที่คร่าช่วิตประชาชนไป 230,000 คน ในกว่า 10 ประเทศ และผู้เสียชีวิตกว่าครึ่งอยู่ในอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุด เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่บริเวณรอยเลื่อน และภูเขาไฟ ที่เรียกกันว่า วงแหวนแห่งไฟ

 

ด้าน วารสารไซเอนซ์ วารสารวิทยาศาสตร์ของสหรัฐ ฉบับวางแผงวันศุกร์ (29 พ.ค.) รายงานอ้างผลการศึกษาของนักโบราณชีวศาสตร์ในอังกฤษที่ระบุว่า เหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ในจีนเมื่อ 260 ล้านปีก่อน ได้ทำลายล้างชีวิตสัตว์น้ำ และสัตว์บกทั่วโลก โดยเชื่อว่าการระเบิดครั้งนั้นทำให้สัตว์น้ำสูญพันธุ์ถึงร้อยละ 96 และสัตว์บกสูญอีกราวร้อยละ 70 เลยทีเดียว

 

นาย พอล วิกนอลล์ ศาสตราจารย์และนักโบราณชีวศาสตร์ ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า การสูญพันธุ์อย่างฉับพลันของเหล่าสัตว์น้ำที่เรียกว่า "การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่กัวดาลูเปียน" สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในซากฟอสซิลที่บันทึกความเชื่อมโยงระหว่างการ ระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ และหายนภัยสิ่งแวดล้อมโลกเอาไว้ โดยการระเบิดของภูเขาไฟอี้เหมยในมณฑลเสฉวน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ปล่อยลาวาออกมามากถึงครึ่งล้านลูกบาศก์กิโลเมตร ซึ่งเป็นปริมาณมากพอที่จะปกคลุมพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าแคว้นเวลส์ในอังกฤษ ได้ถึง 5 เท่า

 

การ สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์ทะเลเกิดขึ้นเพราะการปะทะกันของน้ำทะเล และลาวาที่ไหลอย่างรวดเร็วลงทะเลน้ำตื้น ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ส่งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลขึ้นสู่บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ซึ่งเป็นชั้นบรรยากาศสูงสุด โดยนายวิกนอลล์อธิบายว่า เมื่อลาวาที่มีความหนืดต่ำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปปะทะกับน้ำทะเลตื้นๆ ที่เคยปกคลุมภูเขาอี้เหมยซาน จะทำให้น้ำทะเลเดือดจัด ส่งไอน้ำจำนวนมหาศาลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศกระจายไปทั่วโลก ทำให้โลกเย็นลง และทำให้เกิดฝนกรดจำนวนมากตกลงใส่ต้นไม้ และสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วผืนโลก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นทวีปแพนเจียร์ ทวีปใหญ่ทวีปเดียว ก่อนจะแยกตัวออกมาเป็นทวีปแอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกาอย่างเช่นปัจจุบันนี้

 

รายงาน ระบุอีกว่า การระเบิดนี้เป็นการระเบิดครั้งใหญ่อย่างที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน และเกิดขึ้นก่อนที่ไดโนเสาร์จะครองโลก รุนแรงจนเกือบจะกวาดล้างชีวิตบนโลก โดยการระเบิดเกิดที่ขึ้นใกล้ทะเลตื้นๆ จึงทำให้นักวิจัยสามารถศึกษาได้ทั้งหินภูเขาไฟ และหินตะกอนที่มีซากฟอสซิลสัตว์น้ำได้พร้อมๆ กัน ทำให้สามารถเปรียบเทียบช่วงเวลาที่เกิดขึ้นได้

 

สงครามลังกาคร่าชีวิตพลเรือนกว่า2หมื่นคน

เว็บไซต์สยามรัฐ : สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานอ้างการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์ เดอะ ไทมส์ ในอังกฤษว่า พลเรือนชาวทมิฬเสียชีวิตมากกว่า 20,000 คน จากการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลศรีลังกา กับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนพยัคฆ์ทมิฬอีแลมครั้งล่าสุด ซึ่งส่งผลทำให้กลุ่มกบฏฯ ประสบกับความพ่ายแพ้ และต้องสูญเสียผู้นำ

 

รายงาน ข่าวยังระบุด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก มาจากการใช้กองทัพรัฐบาลศรีลังกาใช้อาวุธหนักโจมตีในพื้นที่เขตปลอดการยิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวมีพลเรือนอาศัยอยู่กว่า 100,000 คน

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท