รายงาน : 4 ยักษ์ใหญ่ชิงตลาดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009

ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีสิ่งใดเร้าใจนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก ได้เท่ากับการแข่งขันผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ของบริษัทยาและสถาบันวิจัยชื่อดังระดับโลก แต่ดูเหมือนว่าประเทศที่มีโอกาสเป็นผู้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำเร็จเป็นแห่งแรกของโลกจะมีเพียง 4 ประเทศเท่านั้น คือ ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา และจีน ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเชือดเฉือนกันชนิดที่ชาวบ้านเรียกว่าหายใจรดต้นคอ...

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ "ไวรัสเชื้อเป็น" กับ "ไวรัสเชื้อตาย"
วัคซีนเชื้อตาย (Inactivated vaccine) ใช้วิธีการฉีดเหมือนวัคซีนทั่วไป ข้อดีคือมีความปลอดภัยสูง เพราะเชื้อไวรัสตายแล้วไม่เพิ่มจำนวนให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย และใช้วิธีฉีดที่คุ้นเคย ส่วนข้อเสียคือต้องใช้ไข่ปลอดเชื้อจำนวนมาก วัคซีน 1 โดสอาจต้องใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง ประกอบกับการผลิตทำได้ช้ากว่าวัคซีนเชื้อเป็น
วัคซีนเชื้อเป็น (Live attenuate vaccine) ต้องใช้วิธีพ่นผ่านจมูกเข้าไปตามระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ เชื้อไวรัสเมื่อเจอกับอุณหภูมิร่างกายจะเจริญเติบโตได้ในระดับหนึ่ง แต่เชื้อไวรัสจะอ่อนฤทธิ์จนไม่สามารถทำให้ร่างกายเป็นโรค ทำได้เพียงกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเท่านั้น ข้อดีคือร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่าวัคซีนเชื้อตาย และผลิตได้ปริมาณมากกว่า 20-30 เท่าต่อไข่ 1ใบ
ทว่าประเทศที่มีเทคโนโลยีผลิตวัคซีนเชื้อเป็นมีแค่อเมริกากับรัสเซียเท่านั้น ส่วนประเทศน้องใหม่ล่าสุดก็คือไทย หลังจากคณะตัวแทนแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงสาธารณสุข ตัดสินใจที่จะให้ประเทศไทยนำร่องผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 แบบวัคซีนเชื้อเป็น โดยได้รับเชื้อวัคซีนจากรัสเซีย ส่วนประเทศอื่นๆ ที่แข่งขันกันเลือกที่จะผลิตวัคซีนเชื้อตาย เพราะมีความปลอดภัยสูงกว่า แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นไปด้วยก็ตาม โดยเฉพาะ 4 ประเทศข้างต้นที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่
เริ่มจากอังกฤษได้ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า วัคซีนงวดแรก 3 แสนชุดผลิตสำเร็จแล้ว และก่อนสิ้นปีจะผลิตได้อีก 55 ล้านชุด ช่วงนี้อยู่ในขั้นตอนให้คณะกำกับดูแลการแพทย์ของยุโรปอนุมัติเท่านั้น เมื่อผ่านแล้วก็จะฉีดให้กลุ่มเสี่ยง 11 ล้านคนได้เลย คาดว่าไม่เกินเดือนตุลาคม 2552
ส่วนออสเตรเลียหลังจากพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แล้ว 3.2 หมื่นราย เสียชีวิตไปกว่า 120 ราย จนกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียสั่งให้เร่งทดลองในมนุษย์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา กระทั่งวันที่ 20 สิงหาคม ปีเตอร์ คอร์ดิงลีย์ โฆษกองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมายอมรับว่า ออสเตรเลียอาจเป็นประเทศแรกที่เริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนมากได้
ด้านยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาอาจช้ากว่าประเทศอื่นบ้าง แม้จะมีเทคโนโลยีไฮเทคกว่า แต่ก็เสี่ยงถูกผู้บริโภคฟ้องร้องมากกว่าเช่นกัน จึงต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกให้แน่ใจจริงๆ ถึงจะกล้าออกมาประกาศความสำเร็จ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ผู้บริหารสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทดลองฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ในอาสาสมัคร 5 ช่วง
ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมแล้ว รวมถึงทดลองในเด็ก หญิงตั้งท้อง กลุ่มเสี่ยงต่างๆ รวมแล้วกว่า 4.5 พันคน ปรากฏว่าผลที่ได้ราบรื่นดี คาดว่าไม่เกินกลางเดือนตุลาคมนี้ พลเมืองสหรัฐ 20-25 ล้านคนจะได้รับการแจกจ่ายวัคซีนนี้
แต่ประเทศที่มาแรงสุดคือจีน เพราะหลังจากเชื้อไวรัส H1N1 ระบาดได้เพียง 2 เดือน ในวันที่ 3 มิถุนายนองค์การอนามัยโลกก็ส่งตัวอย่างไวรัสให้รัฐบาลจีนทันที ช่วงนั้นมีบริษัทยาของจีน 10 กว่ารายที่มีศักยภาพพอที่จะผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009
แต่ดูเหมือนบริษัท ฮัวหลาน ไบโอโลจิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จะพัฒนาวัคซีนเห็นผลมากกว่าบริษัทอื่น เพราะช่วงปลายเดือนกรกฎาคมได้ทดลองฉีดในอาสาสมัคร 2 พันคนที่มณฑลเจียงชู จนกระทั่งวันที่ 3 กันยายนปีเดียวกัน สำนักงานอาหารและยาของจีน (SFDA) ก็อนุมัติให้บริษัทซิโนแวคกับบริษัทฮัวหลานผลิตวัคซีนขายได้
เนื่องจากผลรายงานการทดลองวัคซีนได้ผ่านการพิจารณาจากคณะผู้เชี่ยวชาญเกือบ 40 คนแล้วว่าปลอดภัยจริง สามารถใช้ในมนุษย์อย่างได้ผล
รัฐบาลจีนที่สนับสนุนทั้งสองบริษัทนี้ให้ข้อมูลว่า ผลทดลองฉีดวัคซีนในอาสาสมัครอายุ 3-60 ปี มากกว่า 3 พันราย ยืนยันได้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 เมดอินไชน่าเพียง 1 เข็ม หรือ 1 โดส ก็สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฉีดถึง 2 โดสอย่างที่นักวิจัยชาติตะวันตกตั้งสมมติฐานไว้
โดยบริษัทซิโนแวคแจ้งว่าจะผลิตวัคซีนได้ 30 ล้านโดสต่อปี ส่วนบริษัทฮัวหลานผลิตได้ 160 ล้านโดสต่อปี รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายก่อนสิ้นปี 2552 ทั้งสองบริษัทต้องผลิตให้ได้ไม่ต่ำกว่า 65 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ชาวจีนกลุ่มเสี่ยง 65 ล้านคน หรือร้อยละ 5 ของประชากรที่มีอยู่ทั้งหมด 1,300 ล้านคน 
สำหรับประเทศไทยเมื่อต้นเดือนกันยายน มีผู้ป่วยยืนยันแล้ว 1.5 หมื่นราย เสียชีวิตประมาณ 130 ราย ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วในทุกจังหวัด หากดูลึกไปถึงระดับอำเภอพบว่า ร้อยละ 85 ของอำเภอทั่วไทยเจอมหันตภัยโรคนี้แล้ว มีพื้นที่อำเภอที่เหลือเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่ยังไม่รายงานการพบผู้ป่วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม (อภ.) จัดแถลงข่าวแสดงความดีใจกับสื่อมวลชน เนื่องจากโครงการทดลองและผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็นของไทยได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีเชื้อจากไข่ฟักแล้ว 5.5 ลิตร หากผ่านการทดสอบความปลอดภัยในหนูตะเภา ก็จะนำไปพ่นจมูกทดลองในอาสาสมัครชุดแรก 24 คนภายในวันที่ 21 กันยายน
ส่วนผู้บริหาร อภ.ให้ข้อมูลว่าภายในต้นเดือนธันวาคม ทีมนักวิจัยจะผลิตวัคซีนเชื้อเป็นได้ 2-3 ล้านโดส โดยตั้งเป้าหมายแจกจ่ายให้บุคลากรทางการแพทย์ ที่มีอยู่ประมาณ 3 แสนคนทั่วประเทศก่อน แล้วค่อยแจกจ่ายให้ประชาชนตามความเหมาะสม ส่วนผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคหอบ หืด ผู้ป่วยเอชไอวี ถุงลมโป่งพอง ฯลฯ ต้องรอวัคซีนเชื้อตายที่ อภ.สั่งซื้อจากบริษัท ปลาสเตอร์ เมอร์ริเออร์ ประเทศฝรั่งเศส 2 ล้านโดส มูลค่า 600 ล้านบาท คาดว่าจะส่งถึงไทยก่อนสิ้นปีนี้เช่นกัน
นายแพทย์ผู้คลุกคลีในบริษัทยายักษ์ใหญ่ระดับโลกตั้งข้อสังเกตว่า ภายในสิ้นปีนี้คนไทยทั่วไปไม่น่าจะได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจาก วัคซีนเชื้อเป็นที่กำลังทดลองนั้น หากมองในแง่การทำวิจัยในห้องแล็ปจำนวนไม่กี่ร้อยกี่พันโดสอาจไม่ยากมาก แต่หากจะผลิตเป็นอุตสาหกรรมขนาดหลายล้านโดส จะมีขั้นตอนที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการขนส่ง
เนื่องจากวัคซีนเชื้อเป็นจะถูกทำลายประสิทธิภาพได้ง่ายมาก เช่น ต้องเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หากระบบขนส่งวัคซีนไปทั่วประเทศไม่ได้มาตรฐาน เชื้อไวรัสก็จะตายทันที หลอดวัคซีนจะกลายเป็นแค่หลอดน้ำเปล่า ส่วนวัคซีนเชื้อตายจากฝรั่งเศสก็ยังไม่ค่อยมีความคืบหน้าที่ชัดเจน เมื่อถึงเวลาไม่รู้ว่าจะส่งมาได้ตามกำหนดหรือไม่
"หลักการสั่งซื้อวัคซีนที่อยู่ในขั้นตอนการวิจัยนั้น รัฐบาลอื่นๆ ทั่วโลกจะไม่สั่งจากบริษัทเดียว แต่จะสั่งจากผู้ผลิตอย่างน้อย 2 บริษัทขึ้นไป เพราะหากบริษัทใดเกิดความผิดพลาดก็ยังมีบริษัทสำรองส่งมอบสินค้าให้" แพทย์ผู้คร่ำหวอดในวงการยากล่าวทิ้งท้าย
 
.......................................................
เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์
‘คม ชัด ลึก’ 6 ก.ย. 2552

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท