Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

เมื่อก่อนเราต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ต่อสู้กับต่างชาติ เพื่อรักษาชาติบ้านเมือง แต่ตอนนี้ เรากำลังจะสิ้นชาติเพราะคนไทยด้วยกันเอง เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ คำกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้า และทอดอาลัยอย่างคนสิ้นหวังของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ

ผู้เขียนได้รับเชิญจาก ‘สิงห์เฒ่าแห่งกรมตำรวจ’ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ด้วยเหตุเพราะว่า  ต้องการจะระบายความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้  แม้ว่าเขาจะถูกสังคมตราหน้าว่า เป็นตำรวจมือสังหาร หรือตำรวจมือเพชฌฆาต ที่อยู่ตรงกันข้ามกับผู้ที่เรียกร้องแสวงหาประชาธิปไตย แต่ในยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในวังวนวิกฤตแห่งความแตกแยกขัดแย้ง ความรู้สึกของเขาก็ไม่ต่างไปจากคนไทยทั่วไป
 
“ทางออกมีทางเดียว คือต้องมาทำความเข้าใจกัน และล้างไพ่ใหม่กันให้หมด โดยให้ คุณชวน หลีกภัย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาจับมือกัน” คำตอบของ พล.ต.อ.สล้าง กับคำถามแรกของผู้เขียนที่ถามถึงทางออกของวิกฤตความขัดแย้ง
 
“แต่ใครจะมาเป็นตัวกลาง เพื่อทำให้ทั้งสามคนนี้จับมือกันได้” ผู้เขียนถามต่อ
 
พล.ต.อ.สล้างตอบว่า “ต้องให้ข้างบน” พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นฟ้า และอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า “ต้องให้ ‘สถาบัน’ เป็นตัวกลาง  ต้องเรียกเข้าพบ เพราะแต่ละคนก็เป็นข้ารับใช้ของพระองค์ทั้งนั้น”
 
ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะไม่ว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อเหลือง หรือกลุ่มเสื้อแดง แต่มีจุดร่วมอันเดียวกันคือ ประเทศไทยต้องมีการปกครองด้วย ระบอบ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’
 
แต่ทั้งสองฝ่ายจะนำจุดร่วมอันเดียวกันนี้ มาขยายผลเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองและการจับมือกัน เพื่อร่วมกันสร้างสันติสุข และความเป็นปึกแผ่นเดียวกันได้อย่างไรหรือไม่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนเฝ้าจับตารอคอย
 
อีกความรู้สึกหนึ่งที่ ‘ตำรวจมือสังหาร’ ท่านนี้ ต้องการจะบอกเล่าความในใจ คือ วิกฤตที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจขณะนี้ เป็นเพราะสังคมมองว่า ตำรวจเป็นสถาบันที่กำลังถูกทำลายจนเกือบไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และกำลังกลายเป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจของฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจ
 
“ตำรวจกับการเมืองมันแยกกันไม่ออก เพราะตำรวจรับใช้การเมืองมาโดยตลอด หรือจะเรียกว่าโดยปริยาย  ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา”
 
“แม้กระทั่งรัฐบาลเผด็จการก็ต้องใช้ตำรวจในการทำหน้าที่ การแต่งตั้งโยกย้ายแต่ละครั้งก็จะปูนบำเหน็จให้กับนายตำรวจที่ตัวเองพอใจ หรือใช้ประโยชน์ได้ จะเลื่อนขั้น เลื่อนชั้น นี่คือความจริงที่เป็นอยู่ ซึ่งฝ่ายการเมือง หรือรัฐบาลเอง ก็คิดแต่อนาคตทางการเมือง ถ้ารวบตำรวจไว้ได้หมด การเลือกตั้งครั้งต่อไปก็ไม่มีปัญหา” พล.ต.อ.สล้าง เล่าประสบการณ์จริงที่สังคมไทยไม่อาจปฎิเสธ
 
“และยิ่งรัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ทุกพรรคในรัฐบาลผสม ก็ต้องการตำรวจไปอยู่ในพื้นที่การเมืองของตัวเอง แต่พรรคเสียงข้างมาก ก็คิดถึงอนาคตข้างหน้า ถ้าให้ไปหมด เลือกตั้งครั้งหน้า เราก็ได้เสียงน้อย ก็ลำบาก จึงเกิดการกั๊กกันขึ้นมา”
 
“ถ้าอย่างนั้น จะฟื้นฟูศักดิ์ศรีของตำรวจให้กลับมาได้อย่างไร” ผู้เขียนถาม
“ตำรวจไม่สามารถฟื้นศักดิ์ศรีของตัวเองได้ เพราะตำรวจไม่กล้าที่จะร้องแลกแหกกะเชอ อาชีพของตำรวจก็คือ เมื่อถึงวันเงินเดือนออกก็คือเงินเดือนหมด” คำตอบของพล.ต.อ.สล้าง สะท้อนหัวอกตำรวจไทยอย่างชัดเจน
 
“คือการเอาคนท้องหิว มารักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง รองนึกดูว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่แม้ว่าท้องหิว ก็จำเป็นต้องทำงาน ไม่ว่าจะหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์จลาจลเพราะความขัดแย้ง หรือการออกหมายจับต่างๆ เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ตำรวจก็ต้องไปทำหน้าที่ไต่สวน สอบสวน ค่าพาหนะในการเดินทางก็ไม่เคยมี” พล.ต.อ.สล้างอธิบาย
 
เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่  7 ตุลาคม ปี 2551  เปรียบเสมือนฝันร้ายของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพราะการปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แต่กลับกลายเป็นความผิด
 
“คนที่เป็นตำรวจด้วยกัน หรือคนที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม ดูข่าวในวันนั้นแล้วจะน้ำตาไหล หรือไม่ก็น้ำตาคลอเบ้า  เสียใจที่สื่อเองก็ไม่ให้ความเป็นธรรมกับการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งความไม่เป็นธรรมที่สื่อมีต่อตำรวจ สะสมมาตั้งแต่เรื่องคาร์บ็องค์แล้ว”  สิงห์เฒ่าอดีตมือสังหารแห่งกรมตำรวจกล่าวผิดหวังและเคืองใจ 
 
“สื่อมวลชนระยะหลังนี้เป็นอะไร  ถึงมีการแบ่งฝ่ายกันมาก จรรยาบรรณของสื่อเสียหายหมด เพราะนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียว” เป็นทั้งคำตอบและคำถาม ซึ่งผู้เขียนเองได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ 
 
“เด็กๆ น้องๆ นักข่าวไม่เท่าไหร่ แต่คนทำข่าวพวกหัวเฒ่า หัวหงอกนี่สิ รับใช้ผู้มีอำนาจเสียจนน่าเกลียด เพื่อจะทำให้ตัวเองได้ช่องทางที่จะไปทำธุรกิจต่อไป เช่นได้ทำวิทยุ โทรทัศน์ แล้วนำไปสู่การชี้นำที่ผิดทิศ ผิดทาง บ้านเมืองจึงอยู่ในสภาพที่เหมือนล่มสลาย และกำลังกลายเป็นสงครามในตอนนี้ก็เพราะใคร ก็เป็นเพราะพวกสื่อที่ไร้จรรยาบรรณนั่นแหละ” คำตอบนี้เล่นเอาผู้เขียนต้องหลบสายตา และรู้สึกชาขึ้นมาทันที
 
“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเอง ก็ไม่เป็นธรรม เพราะพูดแต่เฉพาะเรื่องที่ตำรวจพยายามสลายการชุมนุม แต่ไม่พูดถึงเรื่องที่ ตำรวจพยายามที่จะรักษาทรัพย์สินของทางราชการ รวมทั้งการปฎิบัติหน้าที่เพื่อให้รัฐบาลสามารถทำงานได้   ถ้าตำรวจ ปล่อยให้ ประชาชนกลุ่มหนึ่ง เข้าไปยึดรัฐสภาได้ และให้รัฐบาลไม่สามารถแถลงนโยบายได้ ก็เท่ากับว่า ตำรวจผิดด้วยเหมือนกัน” คำอธิบายที่เจือด้วยความขุ่นแค้นในสำเนียง
 
“แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมเขาบอกว่าเป็นการชุมนุมอย่างสันติ และเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิอันชอบธรรมทางการเมือง” ผู้เขียนแย้ง
 
พล.ต.อ.สล้าง สวนขึ้นมาอย่างมีอารมณ์ในทันทีเช่นกันว่า “ถ้าตำรวจไม่เคารพสิทธิอันชอบธรรมในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน แล้วทำไมตำรวจจึงยอมให้ผู้ชุมนุมเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลได้อย่างง่ายดาย นี่จะบอกว่าตำรวจไม่เคารพสิทธิของประชาชนอีกหรือ”
 
“และการชุมนุมหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เราก็รู้ว่า ประชาชนที่มาชุมนุมมีอาวุธสงครามมาด้วย เพราะมีการใช้อาวุธสงครามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บสาหัสหลายคน แต่นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนก็กลับไม่ให้ความเป็นธรรมกับตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่ในวันนั้น ทั้งๆ ที่ผู้ชุมนุมขัดขวางการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างชัดเจนอยู่แล้ว”
 
อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ผู้ผ่านชีวิตการปฎิบัติหน้าที่ในวงการสีกากีมายาวนานยอมรับว่า ทุกวันนี้ ตำรวจตกเป็นขี้ปากของประชาชน ไม่มีความภาคภูมิใจ ไม่มีเกียรติไม่มีศักดิ์ศรีในวิชาชีพของตัวเอง ขณะที่ฝ่ายการเมืองก็พยายามที่จะล้วงลูก เพื่อนำตำรวจไปใช้ประโยชน์
 
“แต่วงการตำรวจเองก็ไม่พยายามรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยเหมือนกัน มีการอาศัยเครื่องแบบเพื่อแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ก็มีไม่น้อย” ผู้เขียนย้อนถาม
 
พล.ต.อ.สล้าง บอกว่า “ตำรวจ เหี้...ย มันก็มี  แต่ก็ส่วนน้อย และที่ตำรวจมันเหี้...ย ก็มาจากฝ่ายการเมืองทั้งนั้น อย่างเรื่องการซื้อขายตำแหน่งนั้นมีจริงในวงการตำรวจ เพราะนักการเมืองมันส่งมา บ้านเมืองมันจึงยุ่งเหยิงอยู่ทุกวันนี้ ตำรวจจะสู้ได้อย่าง แม้จะไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง แต่เมื่อฝ่ายการเมืองช่วยเหลือไว้แล้ว ก็เอาไปใช้เป็นขี้ข้า เพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป”
 
“มีอะไรจะฝาก หรือพูดถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ บ้างครับ” ผู้เขียนถาม
“ก็เห็นใจท่าน อย่างน้อยที่สุด ลูกหลานของท่าน หรือญาติพี่น้องของท่าน ก็อาจจะถูกตั้งคำถามจากสังคม และถูกสังคมมองอย่างคลางแคลงใจว่าท่านทำผิดอะไร ทำไมฝ่ายการเมืองถึงพยายามจะปลดท่านทั้งๆ ที่จะเกษียณอายุในอีกไม่กี่วัน ก็ฝากให้กำลังใจ ขอให้เข้มแข็ง เทวดาฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ และผมเชื่อว่า ท่านพัชรวาท ยังสามารถเดินเชิดหน้าสบตาคนอื่นอย่างเต็มภาคภูมิได้”
 
“และจะฝากอะไรถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ บ้าง” ผู้เขียนถามต่อ
 “ผมฝากท่านนายกอภิสิทธิ์ ว่า ช่วยดูความขาดแคลนของตำรวจด้วย ตำรวจต้องการปฎิบัติหน้าที่รับใช้ประชาชนอย่างมีศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นธรรมในหลายประการ และขอให้คุณอภิสิทธิ์ ยึดหลักให้ได้ และหยุดคิด ศึกษาเรื่องอดีตที่ผ่านมาว่า ไม่ว่าจะทำอะไร และอย่ารังแกให้อีกฝ่ายหนึ่ง กลายเป็นเหมือนสุนัขจนตรอก”
 
อดีตใครจะมอง พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เป็นอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อพ้นจากอำนาจไปแล้ว กลายเป็นคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่แตกต่างไปจากคนไทยทั่วไปที่ห่วงใยชาติบ้านเมือง และหวังที่จะเห็นความสงบสุข ความสามัคคีปรองดองกลับคืนมานั้น  เป็นความรู้สึกร่วมอันเป็นหนึ่งเดียวที่ยังคงอยู่ โดยไม่ได้แยกมิตรและศัตรู

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net