Skip to main content
sharethis

"ผมไม่เชื่อว่า ถ้าสู้ทางการทหารแล้วเราจะประสบชัยชนะ
พราะถ้าตัดสินใจสู้ทางการทหารจะไม่นัดประชาชนมาแบบนี้
เราตัดสินใจต่อสู้ทางการเมือง การชนะทางการเมืองได้ก็ต้องมีความชอบธรรม
ก็ต้องสันติวิธี เพราะฉะนั้นนี่คือจุดยืนที่แข็งแรงของเรา"

จตุพร พรหมพันธ์ุ

หลังจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)  หรือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ได้ประกาศเปิดตัวประธานคนใหม่ คือ ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ที่มีท่าทีแข็งกร้าว แทน ธิดา ถาวรเศรษฐ ที่เป็นประธานมากว่า 3 ปี ไปเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมาในระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงภาคกลางที่สนามกีฬากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเหมือนว่างานใหญ่ที่ต้อนรับประธาน นปช.คนใหม่น่าจะหนีไม่พ้นการนำมวลชนคนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ในวันที่ 5 – 7 เม.ย.นี้ ที่ถนนอักษะ(ถนนอุทยาน) จ.นครปฐม เพื่อซักซ้อมเตรียมรับมือหากมีการรัฐประหารหรือการแทรกแซงทางการเมืองของอำนาจนอกระบบ ซึ่งจตุพรเองคาดว่าอาจเกิดขึ้นในราวๆ กลางเดือนเม.ย.นี้

ประชาไทจึงชวนคุยกับประธาน นปช. คนใหม่ ถึงเหตุผลที่เลือกชุมนุมวันที่ 5 เม.ย. การใช้พื้นที่อย่างถนนอักษะเป็นพื้นที่ชุมนุม ข้อกังวลใจต่อเหตุการปะทะหรือความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งมุมมองต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่มีผู้มองว่าอาจจะไปถึงจุดที่เกิดสงครามกลางเมือง และเหตุผลในการเปลี่ยนประธาน นปช. บทบาทในฐานะประธาน นปช.ของเขา

00000

 

ประชาไท : ทำไมถึงต้องเป็นวันที่ 5 เม.ย.นี้ ?

จตุพร : หนึ่ง เราได้ประเมินสถานการณ์กัน 2 ขยัก เดิมขยักแรกจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในสัปดาห์นี้ แต่เนื่องจากว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป แล้วเราได้เห็นว่าลานประหารรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยนายกฯ คนนอก ไม่ว่าจะโดยใช้อำนาจพิเศษอื่นใดหรือการรัฐประหารนั้น จะอยู่ในวันที่ 18 เม.ย.เป็นต้นไป

เพราะฉะนั้นวันที่ 5-7 อาจจะเป็นคำคล้องว่าวันดี เสาร์ 5 เดือน 5 จะเป็นเหมือนการซักซ้อมใหญ่ ก่อนที่จะเคลื่อนพลใหญ่ และยังเป็นการสื่อสัญญาณไปยังอำมาตยาธิปไตย

วันนี้ผมได้เคยเปรียบเทียบกันไว้ว่าองค์กรอิสระเหมือนกับทีวี อำมาตย์เหมือนกับรีโมท วันนี้ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จะไม่ไปทะเลาะกับทีวี คือจะไม่ไปทะเลาะกับองค์กรอิสระ และก็จะไม่ไปร้องขอความยุติธรรมจากองค์กรอิสระ เพราะความจริงเขาก็ปฏิบัติตามรีโมทนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราจึงประกาศข้ามการต่อสู้ไปยังจุดนัดพบ คืออำมาตยาธิปไตย และประกาศว่าให้ประชาชนคนไทยทำใจ 100% ว่าคำวินิจฉัยไม่ว่าจะที่ ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระใดก็ตามเป็นลบ 100%

เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้เตรียมการเพื่อปกป้องไม่ให้ใครถูกดำเนินคดีในองค์กรอิสระ เพราะเรายอมรับว่าบนกระดานของอำมาตย์ภายใต้องค์กรอิสระนั้น เราแพ้ 100% แต่เรานัดประชาชนเพื่อเตรียมไปต่อสู้ ณ จุดนัดหมาย คือในวันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะฉะนั้นที่ทำมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการเล่นงานนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การละเว้นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในกรณีเดียวกัน หรือแม้กระทั่งการทำหน้าที่ของ ส.ส. ส.ว. ที่เพียงแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ ส.ว.มีที่มาจากการเลือกตั้งกลับถูกวินิจฉัยว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่นี่กลับดำเนินคดีและจะตัดสิทธิทางการเมืองเขาอีก จึงไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะไปร้องเรียกหาความยุติธรรมจากคนเหล่านี้ เพราะเป็นสิ่งที่เขาไม่มี

เพราะฉะนั้นจุดเปลี่ยนแปลงมาจาก 2 กรณี เท่านั้น หนึ่ง คือ การตั้ง นายกฯ คนนอก หน้าด้านอ้างรัฐธรรมนุญบางมาตราทั้งที่ไม่มีช่องที่ว่าเลย ซึ่งความจริงนายกฯ มาตรา 7 นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า มาตรา 7 ไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นคนไทยต้องไม่กล้าที่จะเสนอนายกฯ มาตรา 7 อีกแล้ว แต่กลับมีความพยายามที่จะเรียกร้องอยู่

พวกผมประเมินไว้ว่าอีกหนทางที่เป็นไปได้ คือ การรัฐประหารโดยกองทัพ เพราะช่องทางอื่นที่จะเปลี่ยนแปลงเอาตัวนายกฯ มานั้นมันไม่มี ยกเว้นการรัฐประหาร

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ เช่น การรัฐประหาร วันนั้นจะเป็นวันเวลานัดพบกันระหว่างคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย จะต่อสู้ต่อต้านทุกวิถีทาง บนหลักการสันติวิธี เพื่อหยุดยั้งการกระทำการดังกล่าว เพื่อนำพาประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตย

ทำไมต้องใช้ถนนอักษะเป็นสถานที่ชุมนุม ?

หนึ่ง เป็นสถานที่ที่มีความสวยงาม สอง คือมีความห่างไกลที่จะเผชิญหน้า สาม เรามีความเชื่อมั่นว่าในโลกสื่อสารไร้พรมแดน ไม่ว่าเราชุมนุม ณ จุดใด ก็มีแรงสั่นสะเทือนไหวไปทั่วทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราไปแสดงจำนวนให้กับอำมาตยาธิปไตย ให้กับ กปปส. ให้กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ให้กับใครก็ตามที่คิดล้มล้างประชาธิปไตยได้เห็นว่า คนห้าแสนคนของ นปช. มันมากกว่าคนหกล้านแปดของ กปปส. ที่สุเทพ ปราศรัยยืนยันจำนวนผู้มาชุมนุมกับกลุ่มของตนเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราต้องการบอกอำมาตย์ว่านี่ของจริง ห้าแสนคนยังมากกว่าหกล้านแปดของสุเทพเทือกสุบรรณ

มีผู้กังวลถึงความรุนแรง จากกรณีปะทะที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปลายปีที่แล้ว ทาง นปช. มีการวางมาตรการป้องกันไว้หรือไม่ อย่างไร ?

ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่ารามคำแหง เหตุปะทะที่เกิดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดถึงเลย เพราะการชุมนุมของ นปช. ที่ราชมังคลากีฬาสถานไม่ได้กระทบกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่เราคิดไม่ถึงคือการที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยให้กองกำลังติดอาวุธไปใช้อาคารกิจกรรมหลังเก่า และอาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ในรามคำแหง ให้มือปืนขึ้นไปซุ่มยิง จากคำให้การของ รปภ. ที่รักษาการทั้ง 2 ตึก ซึ่งให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชัดเจนว่าได้มีกองกำลังติดอาวุธขึ้นไปใช้อาคารดังกล่าวเป็นที่ซุ่มยิงคนที่ราชมังคลา อีกทั้งวันนั้นเราแบ่งการดูแลความปลอดภัยโดยภายในเป็นชุดการ์ดของ นปช. ขณะที่รอบนอกเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อตำรวจมีเพียงมือเปล่าก็ไม่สามารถคุ้มครองอะไรได้

ครั้งนั้นเราป้องกันตัวเองไม่ได้ทั้งๆ ที่เรามีจำนวนเรือนแสนคน หากคิดจะต่อสู้กันนั้นในรามคำแหงก็คงย่อยยับเหมือนกัน เพราะเมื่อเข้าไปข้างในแล้ว พลซุ่มยิงก็ไม่มีความหมายอะไร แต่เราไม่ได้คิดต่อสู้ ซึ่งพูดไปก็เจ็บปวดเพราะเป็นสถาบันที่เราเคยเรียนอยู่

แต่การชุมนุมครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมีวงรอบไม่ต่ำกว่า 3 รอบ เป็นชั้นๆ โดยทาง นปช. ทำหนังสือขอความร่วมมือเพื่อให้เจ้าหน้าท่มาดูแลรักษาความปลอดภัย โดยขอไปยัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. และทาง ผบ.ตร. โดยจะทำงานร่วมกับชุดการ์ดของ นปช. และ นปช.เองก็มีชุดการ์ดที่มากันในแต่ละจังหวัด และทราบว่าทางตำรวจก็จะช่วยดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของแต่ละจังหวัดด้วย เพราะฉะนั้นระยะทำการทั้งหลายก็จะมีการป้องกัน ตรวจค้นอย่างสุดความสามารถ เนื่องจากในปี 53 นั้นเราคาดไม่ถึงว่าจะมีการใช้สไนเปอร์ยิงผู้ชุมนุม ที่รามคำแหงและราชมังคลานั้นยิ่งคาดไม่ถึงเข้าไปอีก เพราะเราคิดว่านั่นเป็นบ้านเรา แต่ความอำมหิต อำนาจนั้นไม่เคยเข้าใครออกใคร ดังนั้นในครั้งนี้เราจึงคิดเผื่อ แม้กระทั่งจิตใจของมนุษย์ จึงเชื่อว่าไม่สามารถก่อการอะไรเราได้ แต่ก็ไม่ประมาท

จะมีการชุมนุมต่อเนื่องด้วยใช่ไหม ?

เป็นการชุมนุม 3 วัน 2 คืน เพราะเราต้องการซักซ้อม ให้ประชาชนเกิดความเคยชิน เพราะเราไม่ต้องการแบบสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มาวันเดียวแล้วหาย เพราะฉะนั้นจึงร้องขอพี่น้องให้ทนความเหนื่อยยาก แต่มันจะเป็นประโยชน์กับการซักซ้อม ไม่ว่าแดดหรือฝน นี่เป็นชะตากรรมที่เราเคยผ่าน และเราไม่ได้ทำแบบนี้กันมานานแล้ว ซึ่งวันที่ 5-7 นี้จะเป็นการชุมนุมครั้งที่ใหญ่ที่สุดของคนเสื้อแดง และครั้งหน้าก็จะใหญ่กว่านี้

"อยากให้อำมาตย์ได้มองดูเหตุการณ์ดังกล่าว
เพื่อจะทำให้เกิดการยั้งคิดที่จะกระทำการปล้นเอาอำนาจของประชาชนไป
เพราะมันจะหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองไม่พ้น
ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนก่อสงครามกลางเมือง ผมเสนอให้หยุดสงครามกลางเมือง
ผมกลัวสงครามกลางเมือง จึงได้เตือนต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง"

จตุพร พรหมพันธุ์

 

มีข้อกังวลว่าสถานการณ์ขณะนี้อาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง ในฐานะที่เป็นแกนนำของคนจำนวนมากมองสถานการณ์อย่างไร?

พวกผมแสดงเจตนาชัดเจนว่าเราไม่ต้องการสู้ทางการทหาร หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยไปที่ถนนอักษะ หันหน้าเข้าหาพระที่พุทธมณฑล เป็นเจตนาที่ชัดเจนว่าห่างไกลจากลุมพินี ห่างไกลจากแจ้งวัฒนะ ห่างไกลจากมัฆวาน ที่เป็นที่ชุมนุมของ กปปส. เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ไปหาเรื่องก็จะไม่มีเรื่องโดยเด็ดขาดอยู่แล้ว

หนทางสู่สงครามกลางเมืองที่จะเป็นไปได้มีประการเดียวเท่านั้น คือ บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น การรัฐประหาร หรือการปล้นเอาอำนาจของประชาชนไป ในรูปแบบต่างๆ นั่นจะพัฒนาไปสู่ส่งครามกลางเมือง เพราะฉะนั้นที่เราใช้เป็นคำขวัญโดยเอาคำของประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา โทมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ว่า “เมื่อความอยุติธรรมเป็นกฎหมาย การต่อสู้จึงเป็นหน้าที่” เพราะฉะนั้นในวันนี้ความอยุติธรรมมันได้ถูกนำมาใช้กับคนที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน การต่อสู้จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักความยุติธรรมเพื่อจะต่อสู้กับความอยุติธรรมให้ได้ความยุติธรรมมา

ผมเชื่อว่าความตื่นตัวของประชาชนเป็นสิ่งที่เครือข่ายอำมาตยาเขาไม่คาดคิด เดิมทีเขาคิดว่าเสื้อแดงอ่อนแอลงไปแล้ว เสื้อแดงตายไปแล้ว แต่ความจริงนั้นเสื้อแดงเขาดำรงอยู่ เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาต้องการประคับประคองรัฐบาลที่มาจากเลือดเนื้อชีวิตของเขา เพราะฉะนั้นเมื่อวันนี้เห็นชัดว่าบ้านเมืองกำลังไม่เป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง พี่น้องเสื้อแดงก็ถูกปลุกให้ลุกขึ้นมา แล้วก็ลุกขึ้นมามากกว่าเดิม เชื่อว่าวันที่ 5 นี้ อำมาตย์จะได้เปิดหูเปิดตาว่าในโลกความเป็นจริงนั้น จะไม่มีประชาชนยอมถูกกดขี่หรือว่าถูกปล้นเอาอำนาจของเขาไป เขาจะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้

เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์วันที่ 5-7 นี้ อยากให้อำมาตย์ได้มองดูเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะทำให้เกิดการยั้งคิดที่จะกระทำการปล้นเอาอำนาจของประชาชนไป เพราะมันจะหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองไม่พ้น ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนก่อสงครามกลางเมือง ผมเสนอให้หยุดสงครามกลางเมือง ผมกลัวสงครามกลางเมือง จึงได้เตือนต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง

การที่ นปช. ออกมาชุมนุมใหญ่อีกกลุ่ม จากเดิมมี กปปส. อยู่แล้วนั้น จะไม่ยิ่งเป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลรักษาการหรือ?

ไม่เช่นนั้นสังคมนี้ก็จะเห็นมีเพียงกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่เสนอนายกฯ ที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง หลอกลวงเรื่องการปฏิรูปประเทศ ความจริงคือต้องการรวบเอาอำนาจเสียเอง แล้วทำลายศตรู มันจะกลายเป็นว่ามีกลุ่มที่ไม่ยอมรับประชาธิปไตยอยู่กลุ่มเดียวในประเทศไทยที่แสดงออกมา ฝ่ายประชาธิปไตยไม่รู้หายหัวไปไหน

เพราะฉะนั้นเพื่อต้องการจะบอกกับโลกและคนไทยเองได้รู้ว่า ฝ่ายประชาธิปไตยนั้นมีจำนวนมากกว่าฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการเสนอสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยท้ายที่สุดก็ไม่สามารถรักษาประชาชนเอาไว้ได้ กปปส.เองวันนี้ก็ตามรอยกลุ่มพันธมิตรฯ จากมากไปหาน้อย ขณะที่ของ นปช. จากน้อยไปหามาก แล้วก็ยังรักษาจำนวนไว้ได้ แม้กระทั่งผ่านไป 8 ปี แล้วก็ตาม แต่ทาง กปปส. 4 เดือน เข้าเดือนที่ 5 ก็รักษาประชาชนเอาไว้ไม่ได้

สังคมมองคุณจตุพรว่าเป็นแกนนำ นปช. สายเหยี่ยว หรือฮาร์ดคอร์ การขึ้นมาเป็นประธาน นปช. จะมีผลต่อภาพลักษณ์ของ นปช. หรือไม่ ?

ความจริงคนที่รู้จักผม จะรู้ว่าผมนี่ยึดแนวทางสันติวิธี แต่ว่าท่วงทำนองการแสดงออกของผม ดูเหมือนจะแข็งกร้าว แต่แข็งกร้าวก็ภายใต้หลักการสันติวิธี ภายใต้หลักการประชาธิปไตย คนที่รู้จักผมก็รู้ว่าเวลาว่างผมก็คือไปวัด เวลานี้ก็ชวนพี่น้องสร้างพระ เพราะฉะนั้นจิตใจของเรามาทางนี้ จึงไม่คิดแนวทางนอกเหนือสันติวิธี

ผมไม่เชื่อว่า ถ้าสู้ทางการทหารแล้วเราจะประสบชัยชนะ เพราะถ้าตัดสินใจสู้ทางการทหารจะไม่นัดประชาชนมาแบบนี้ เราตัดสินใจต่อสู้ทางการเมือง การชนะทางการเมืองได้ก็ต้องมีความชอบธรรมก็ต้องสันติวิธี เพราะฉะนั้นนี่คือจุดยืนที่แข็งแรงของเรา

ทำไม นปช. ถึงเปลี่ยนแกนนำในช่วงนี้ ?

ความจริงทาง นปช. ทั้งอาจารย์ ธิดา ถาวรเศรษฐ และคณะ ก็จะส่งไม้ให้ผมมาเป็นเวลากว่าปีแล้ว แต่ตอนนั้นผมได้ร้องขอกับทางอาจารย์ธิดาว่าผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพขอให้อาจารย์ได้ทำหน้าที่ประธาน นปช. ต่อไป จึงได้ตกลงกับอาจารย์ธิดาว่าวันใดผมสุขภาพปกติก็จะมารับไม้ต่อจากอาจารย์ แต่ระหว่างที่อาจารย์ธิดาเป็นประธาน นปช. ผมเองก็ช่วยกันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

นปช.ในวันที่มี จตุพร เป็นประธาน จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?

เนื่องจากขณะนี้เราอยู่ในสถานการณ์การสู้รบ ผมก็ใช้คำว่าผมจะเปิดประตูทุกบาน รับกับทุกฝ่าย รับกับบรรดาหมู่มิตรบางส่วนที่อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ เพราะฉะนั้นหลังจากเสร็จการชุมนุมในรอบนี้อาจจะได้คุยกันเรื่องการทำโครงสร้างองค์กรเพื่อแบ่งความรับผิดชอบในระยะยาวต่อไป ตอนนี้ทุกคก็ต่างช่วยกันทำในภาระกิจตั้งต้นนั่นเอง ซึ่งโครงสร้างอาจเป็นรูปแบบที่มีความชัดเจนในความรับผิดชอบและสามารถปฏิบัติการได้ทันทีทันใด ก็จะเห็นโฉมหน้าใหม่ของ นปช.

ปัจจุบัน เสื้อแดงมีหลายกลุ่ม อย่างเช่น กวป. โกตี๋ กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ที่นำโดยแรมโบ้อีสาน เป็นต้น ทาง นปช. ได้ประสานงานกับกลุ่มเหล่านี้อย่างไร ?

ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน แต่อย่างที่บอกว่าเราเปิดประตูทุกบาน หากพี่น้องเพื่อนพ้องเห็นด้วยก็เชิญมาร่วมกัน แต่เขาจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งเขาเหล่านั้นก็มีองค์กรของตัวเองชัดเจน ก็เป็นเอกสิทธิในการตัดสินใจของเขา แต่ว่าเราก็ยังเปิดประตูเอาไว้ เพราะความจริงแล้วคนเสื้อแดงโดยส่วนใหญ่อยู่ในแนวทาง นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เพราะฉะนั้นพี่น้องกลุ่มต่างๆ ที่มีความเห็นที่แตกต่างกันถ้าพร้อมวันไหน และมีความเห็นสอดคล้องกันก็เชิญเข้ามาพูดคุยเพื่อที่อย่างน้อยที่สุดจะได้มาร่วมคิดร่วมทำกัน

เพราะเวลานี้หากมีปัญหาอะไรเขาก็จะหยิบยกในบางกรณีซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่การกระทำของ นปช. อย่างเช่นกรณีของ ผบ.ทบ.ที่ไปหยิบเอาคำพูดของคนอื่นแล้วมายัดเยียดใส่ผม ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน เพราะฉะนั้นเราก็พยายามจะสื่อสารกับเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักการที่ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพระหว่างกัน และเปิดประตูไว้ตลอด พร้อมวันไหนก็เข้ามา อย่างไรก็ตามเมื่อเรายึดในหลังการประชาธิปไตย และเขาต้องการเป็นเสื้อแดงอิสระไม่อยู่กับ นปช. เราก็ต้องเคารพสิทธิของพวกเขา

อยากให้ขยายความคำว่า “สันติวิธี” ว่ามีเงื่อนไขหลักการอย่างไร ?

นปช. เป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด แต่ถูกใส่ความว่าเป็นพวกใช้ความรุนแรงทั้งที่ฝ่ายเราตายเป็นร้อย บาดเจ็บกว่าสองพันคนในเหตุการณ์ปี 53 เหตุการณที่ราชมังคลาเมื่อปลายปีที่แล้วเราก็ตายเจ็บเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับถูกให้ร้ายป้ายสีว่าเราเป็นพวกใช้ความรุนแรงทั้งที่เราอยู่ในฐานที่ตั้ง แต่ถูกซุ่มยิงเข้ามา

เพราะฉะนั้นต้องเตือนสติ นปช. ว่าถ้าเราคิดด้วยความคับแค้นเราจะไม่ชนะ เราต้องเจ็บปวดแข็งใจที่จะต้องยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และเราก็ไม่ประมาท วันนี้มีเจ้าหน้าที่ร่วมกับการ์ด นปช. ป้องกันความรุนแรงทุกรูปแบบ

เชื่อว่ามือเปล่าจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าจับอาวุธใส่กันนั้น ไม่จบ อย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 10 ปี ก็ยังไม่จบ หมดงบไป 3 แสนล้านบาท เจ็บเป็นหมื่น ตายเป็นพัน อาวุธกับอาวุธมันไม่จบ เพราะฉะนั้นการที่ นปช.ประกาศชุมนุมในที่แจ้ง เราก็ยึดและเลือกแนวทางสันติวิธีแล้ว ดังนั้นไม่มีแนวทางอื่น แต่ว่าเมื่อถึงวันที่บ้านเมืองนี้ประชาชนถูกไล่ต้อนจนหมดทางเลือกจนไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว วันนั้นเป็นสถานการณ์เกินการควบคุม แต่ตราบใดที่ นปช.ยังควบคุมสถานการณ์ได้ดังเช่นในปัจจุบันนี้ ไม่มีแนวทางอื่นนอกจากสันติวิธี

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net