ทั้งนี้ โจทก์ในคำฟ้องระบุว่า กกต.ทั้ง 4 คน ซึ่งเป็นจำเลย อันได้แก่ พล.ต.อ.
(1) จำเลยไม่ทักท้วงว่าการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นระยะเวลาน้อยกว่าระยะเวลาขั้นต่ำที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด
(2) จำเลยมีคำสั่งให้จัดคูหาเลือกตั้งในลักษณะหันหลังให้กรรมการการเลือกตั้ง และมีการแก้ไขเปลี่ยนตำแหน่งในช่องกาบัตรเลือกตั้ง ทำให้การใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งไม่เป็นความลับ
(3) จำเลยมีคำสั่งให้ติดรูปและหมายเลขผู้สมัครหมายเลข 2 (ซึ่งเป็นผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย) ในคูหาเลือกตั้ง ถือเป็นการโฆษณาเสียงเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองพรรคเดียว
(4) จำเลยมีคำสั่งให้รับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งเพิ่มเติมในการเลือกตั้งซ้ำ ในเขตการเลือกตั้งที่มีผู้สมัครรับการเลือกตั้งเพียงคนเดียว และได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทยซึ่งมีจำนวน ส.ส.ครบจำนวนของสภา
อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ทั้ง 9 คนไม่ได้เป็นผู้สมัครและไม่ได้อยู่ในพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกของตนเองลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ซึ่งถือว่าไม่เป็นผู้เสียหายตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และ ส.ว. จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้ดำเนินคดี (อาญา) แก่จำเลยทั้ง 4 คนตามกฎหมาย
นอกจากนี้ ศาลยังระบุอีกด้วยว่าโจทก์ยังไม่ได้มีการนำส่งพยานหลักฐานที่เพียงพอ เพื่อชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีการกระทำความผิดตามกฎหมาย จึงถือว่าคดีไม่มีมูล ดังนั้นศาลจึงมีคำสั่งยกฟ้อง และศาลเห็นว่าในการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.เคยใช้วิธีจัดการการเลือกตั้งดังกล่าว แต่ไม่มีผู้ใดคัดค้าน อาจเพราะในการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่มีผู้มีความรู้ด้านกฎหมายพอที่จะร้องคัดค้าน
คดีนี้จึงถูกศาลพิเคราะห์ว่าจำเลยทั้งสี่จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเอง และถือเป็นเรื่องที่ กกต. ควรนำไปพิจารณา ในขณะที่นายสมบูรณ์ ทองบุราณกล่าวว่าตนจะเตรียมการยื่นฟ้องร้องกับศาลอุทธรณ์อีกครั้ง พร้อมทั้งเรียกร้องให้อัยการสูงสุดแสดงความจริงใจรับด้วยการพิจารณาคดีเพื่อชี้ขาดคุณสมบัติของกกต.
ในวันเดียวกัน พันตำรวจเอกพณาเจือเพ็ชร์ กฤษณะราช ส.ว.จังหวัดระยอง ตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ ทั้ง 109 คน ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ขอเข้าหารือข้อกฎหมาย และยื่นหนังสือต่อนาย
ตัวแทน ส.ว.ชุดใหม่ซักถามนายสุชนว่า พวกตนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เมื่อใด รวมทั้งขอความชัดเจนเรื่องเงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ ด้วย ประธานวุฒิสภาจึงชี้แจงว่า ส.ว.ชุดใหม่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ต่อเมื่อมีการเปิดประชุมรัฐสภา และมีการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อที่ประชุมแล้ว แต่ในส่วนของเงินประจำตำแหน่ง ส.ว.จะต้องรอพระราชกฤษฎีกาจากกระทรวงการคลังก่อน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการเตรียมห้องทำงานไว้ให้ ส.ว.ชุดใหม่ที่อาคารที่ทำการพรรคชาติพัฒนาเก่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งจะมีการจัดสัมมนาในเดือนกันยายนที่จะถึง เพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ด้วย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)