Submitted on Thu, 2007-07-26 01:45
ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา กิมมิคยอดนิยมอันหนึ่งของโลกออนไลน์คือการนำตัวเลข "2.0" มาแปะไว้ท้ายชื่อ เพื่อประกาศตัวว่าเป็นธุรกิจแห่งสหัสวรรษใหม่
จุดเริ่มต้นของโลก "2.0" ต้องย้อนไปเมื่อปี 2546 เมื่อ คอลัมนิสต์ไอทีคนหนึ่ง สังเกตเห็นแนวโน้มว่า เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเดิมที่เคยเป็นเว็บนิ่งๆ มีแต่ข้อมูล ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับแผ่นพับประชาสัมพันธ์ออนไลน์ กลายมาเป็นแหล่งชุมชนขนาดมหึมาที่ผู้อ่านมีบทบาทในการสร้างข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวิธีทำงานของอุตสาหกรรมสื่อไปอย่างสิ้นเชิง
ถ้าให้ยกตัวอย่างเว็บสมัยใหม่ที่ว่า ที่เห็นภาพที่สุดและรู้จักกันทั่วไป คงต้องเป็น YouTube เว็บไซต์ วิดีโอออนไลน์ชื่อดัง จากเดิมที่ผู้ชมต้องรอดูภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดในโรงหรือผ่านจอทีวี กลายมาเป็นคนสร้างหนังด้วยตัวเอง และแจกจ่ายให้ผู้ชมคนอื่นๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต
จากนั้นไม่นาน "เว็บ 2.0" ก็ดังแบบฉุดไม่อยู่ เว็บไซต์จำนวนมากประกาศตัวเองว่าเป็น 2.0 เพื่อหวังผลทางการตลาด สิ่งที่ตามมาคือ ผลิตภัณฑ์หรือแนวคิดเดิมๆ ที่เรารู้จักกันดี ล้วนแต่มีเลข 2.0 แปะท้ายกันตกเทรนด์ทั้งสิ้น
วงการสื่อมวลชนเองก็หนีไม่พ้น "Media 2.0" [2]
แนวคิดของ Media 2.0 ไม่ต่างอะไรกับเว็บ 2.0 มาก นัก นั่นคือ แทนที่จะรอการรายงานข่าวจากนักข่าว ผ่านไปให้บรรณาธิการตรวจสอบก่อนจะตีพิมพ์ เรามาอ่านข่าวที่เขียนโดยผู้อ่านคนอื่นๆ ดีกว่า [3]
แนว คิดนี้อยู่บนพื้นฐานความจริงว่า ไม่มีทางที่นักข่าวจะสามารถเกาะติดประเด็นข่าวอย่างลึกซึ้งได้ทุกเรื่อง เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา สถานที่ และความเชี่ยวชาญในสายงานเรื่องนั้นๆ แต่ขณะเดียวกัน คนธรรมดาที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์หรือวงการมากกว่า ย่อมมีความสามารถในการเล่าเรื่องนั้นได้ดีกว่า (นักข่าวจะเล่าเรื่องไฟไหม้ได้ดีเท่าคนที่เพิ่งหนีออกมาจากไฟไหม้ได้อย่างไร?) ถ้า เราสามารถเชื่อมโยงคนเหล่านี้ในแต่ละวงการเข้าด้วยกันได้ เราย่อมจะได้เนื้อหาจำนวนมากกว่า ลึกกว่า และถูกกว่าโมเดลการใช้ผู้สื่อข่าว-กองบรรณาธิการแบบดั้งเดิม สิ่งที่ใช้เชื่อมโยงนั้นก็คืออินเทอร์เน็ต
พลังของ Media 2.0 ถูก พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนจากความสำเร็จของบล็อก ที่ผู้อ่านทุกคนสามารถกลายมาเป็นคนเล่าข่าวได้ง่ายๆ ปัจจุบันต่างประเทศเกิดอาชีพนักเขียนบล็อกที่หารายได้จากค่าโฆษณาบนบล็อกของ ตัวเองโดยไม่ต้องทำงานอย่างอื่น วงการสื่อในประเทศไทยเองเริ่มเห็นพลังของ Media 2.0 ซึ่งสังเกตได้จากการโหมโปรโมทเว็บบล็อก OKNation ของฝั่งเนชั่น ซึ่งหวังจะดึงพลังของฐานคนอ่านที่มีอยู่แล้วจำนวนมาก มาเป็นผู้รายงานข่าวให้กับเนชั่นนั่นเอง[4]
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Media 2.0 จะ ช่วยให้ข่าวสารมีจำนวนมากกว่า มีประเด็นหลากหลายกว่าที่เคยเป็นมา แต่มันก็ย่อมมีข้อจำกัดด้วยเช่นกัน บล็อกเกอร์อิสระบางคนอาจมีฝีมือการเขียนข่าวได้ทัดเทียมกับนักข่าวอาชีพ แต่บล็อกเกอร์จำนวนเยอะกว่านั้นมากเพิ่งเคยเรียบเรียงความคิดของตัวเองเป็น ครั้งแรก และหลายคนใช้บล็อกเป็นเพียงไดอารี่ออนไลน์ที่เอาไว้ระบายอารมณ์เท่านั้น
นอกจากนี้ Media 2.0 ยังถูกตั้งคำถามถึงวิธีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลและความถูกต้องของแหล่งข่าว ปัญหานี้แทบไม่เกิดขึ้นในโลกของ Media 1.0 ที่ เนื้อหาส่วนใหญ่ผ่านการคัดกรองโดยระบบบรรณาธิการ และถูกบีบด้วยต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ที่ไม่สามารถตีพิมพ์เนื้อหาด้อยคุณภาพได้ อย่างมั่วซั่ว [5]
นอกจากปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพของเนื้อหาแล้ว ข้อดีที่ผู้ผลิตสื่อแบบ 2.0 เป็น ผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งก็มีข้อเสียตามมาเช่นกัน เพราะเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมา จะมีเฉพาะสิ่งที่ผู้ผลิตคนนั้นสนใจเท่านั้น เราคงไม่สามารถหาอ่านข่าวกีฬาหรือบันเทิง จากเว็บไซต์ของชุมชนผู้สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ได้ ขณะที่หนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียว ให้เราได้ครบทุกเรื่องที่คนธรรมดาควรจะสนใจ
เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยของ Media 1.0 และ Media 2.0
Media 1.0
|
Media 2.0
|
เนื้อหามีคุณภาพ ควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
|
เนื้อหามีตั้งแต่คุณภาพยอดเยี่ยมไปจนถึงยอดแย่
|
ค่าผลิตเนื้อหาแพง จำนวนแปรผันตามกำลังเงิน
|
ค่าผลิตเนื้อหาถูกมาก
|
หัวข้อของเนื้อหาตามที่ผู้อ่านสนใจ
|
หัวข้อของเนื้อหาตามที่ผู้เขียนสนใจ
|
บรรณาธิการเป็นผู้คัดกรองเนื้อหา
|
ผู้อ่านเป็นคนคัดเลือกเนื้อหาด้วยตัวเอง
|
มีระบบตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล
|
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ยาก
|
นักวิชาการด้านสื่อใหม่และผู้ประกอบการ Media 2.0 รู้ ตัวถึงปัญหาเหล่านี้แล้ว และกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาวิธีการที่นำข้อดีทั้งสองยุคมารวมกัน ผู้เขียนขอถือวิสาสะเรียกวิธีการลูกผสมแบบนี้ว่า Media 1.5
แนวคิดของ Media 1.5 คือการปล่อยให้ผู้เขียนสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระตามแบบฉบับของ Media 2.0 แต่นำเข้าสู่ระบบบรรณาธิการเพื่อคัดกรองอีกชั้นหนึ่ง วิธีนี้จะได้ข้อดีด้านจำนวนจาก 2.0 ในขณะเดียวกัน มีการควบคุมคุณภาพของชิ้นงาน และหัวข้อตรงกับความต้องการของผู้อ่าน ตามวิธีของ 1.0
Media 1.5 ยัง อยู่ในช่วงลองผิดลองถูก ถึงจะมีแนวคิดแบบเดียวกัน แต่วิธีปฏิบัติของแต่ละเจ้าย่อมแตกต่างกันอย่างมีนัยยะ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอคือการสร้าง "เวอร์ชัน" [6] ของเนื้อหา
เช่น ชิ้นงานที่ออกมาจากผู้เขียนสดๆ ไม่ผ่านการแก้ไขจะเป็นเวอร์ชัน a ที่คนอ่านยังมีสิทธิ์เข้าถึงโดยตรง แต่เวอร์ชัน b ที่ ผ่านระบบบรรณาธิการแล้ว (เช่น แก้คำผิด ปรับมุมมอง) จะถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง ทั้งทางสื่อออนไลน์และสื่อแบบดั้งเดิม บางสำนักยังก้าวไกลไปถึงการเสนอให้ผู้อ่านเองนั่นล่ะ ที่รับบทบรรณาธิการแก้ไขจากเวอร์ชัน a ไปเป็น b เสียด้วยซ้ำ [7]
ผู้เขียนเชื่อว่าอีกไม่นานเกินสองปี วิถีของ Media 1.5 จะเริ่มลงตัว มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จสามารถนำไปใช้ซ้ำได้มากขึ้น
ในยุคที่สื่อกระแสหลักของประเทศถูกแทรกแซงอย่างหนัก ส่วนสื่อทางเลือกยังขาดแคลนทั้งกำลังเงินกำลังคน ผู้เขียนหวังว่า แนวคิด Media 1.5 ที่ กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา จะมีน้ำหนักในสังคมมากพอจนถ่วงดุลกับสื่อแบบดั้งเดิมได้ ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพและไม่ถูกบิดเบือนได้ในระดับที่ไม่เคยเป็น มาก่อน
[1] ปัจจุบันยังไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนของเว็บ 2.0 แต่คำนิยามฉบับที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดเป็นฉบับของ Tim O'Reilly ผู้ก่อตั้งและเจ้าของสำนักพิมพ์ O'Reilly
[2] แนวคิดที่ใกล้เคียงกับ Media 2.0 แต่ไม่เหมือนกันเลยทีเดียว และกำลังได้รับความสนใจในวงการสื่อสารมวลชนยุคใหม่ ได้แก่ citizen media, citizen journalism, participatory media ซึ่งขอไม่พูดถึงในที่นี้
[3] แนวคิดที่ว่า ให้ผู้ใช้เป็นคนสร้างเนื้อหาด้วยตัวเอง มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า User-generated content หรือ UCG แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับเรื่อง Crowdsourcing และได้รับการกล่าวถึงในหนังสือ The World is Flat ภายใต้ชื่อ Uploading
[5] ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปัญหานี้คือเว็บไซต์ Digg.com ซึ่งเป็นเว็บข่าวแบบ 2.0 ซึ่ง ให้ผู้อ่านเป็นคนส่งข่าวที่น่าสนใจเข้ามา และเรียงลำดับของข่าวตามคะแนนที่ผู้อ่านคนอื่นโหวตให้ ระบบนี้เป็นการมอบสิทธิ์ของบรรณาธิการให้กับมวลชนผู้อ่านอย่างสิ้นเชิง ทำให้การรายงานข่าวเกิดความรวดเร็วและหลากหลายมาก แต่ข้อเสียที่ตามมาก็คือคุณภาพของข่าวที่ลดลง และเกิดการรวมกลุ่มของผู้โหวตเพื่อให้ข่าวหรือโฆษณาของตัวเองได้ขึ้นหน้าแรก ที่เด่นที่สุดเช่นกัน
[6] คำภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกคือ revision