Skip to main content
sharethis
Event Date

นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีชาวบ้านคลิตี้ล่าง 151 คน ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่าพันล้านบาท กรณีบริษัทโรงแต่งแร่ทำลำห้วยคลิตี้ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ปนเปื้อนสารตะกั่ว พร้อมขอให้ศาลสั่งบริษัทรับผิดชอบฟื้นฟูขจัดมลพิษในลำห้วย

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ.2560 เวลา 9.00 น. ณ ศาลจังหวัดกาญจนบุรี 

ความเป็นมาและความสำคัญของคดี:

เป็นระยะเวลากว่า 19 ปี ที่ลำห้วยคลิตี้ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ถูกตรวจพบว่ามีการปนเปื้อนสารตะกั่วปริมาณมหาศาลที่รั่วไหลมาจากโรงแต่งแร่ ส่งผลให้ชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านคลิตี้ล่างได้รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายจากการดื่มน้ำและกินสัตว์น้ำในลำห้วย ทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยพิการและเสียชีวิต วิถีชีวิตที่เคยได้พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติจากลำห้วยคลิตี้ที่สะอาดบริสุทธิ์ต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่แล้วปัญหานั้นก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างจริงจังทั้งจากบริษัทเอกชนเจ้าของโรงแต่งแร่ผู้ก่อมลพิษ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อ


ความเสียหายที่เกิดขึ้น ผู้ก่อมลพิษจะต้องรับผิดชอบชดใช้มากน้อยเพียงใด ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษตะกั่วในสิ่งแวดล้อมที่ผู้ก่อมลพิษและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบจะได้รับการฟื้นฟูแก้ไขหรือไม่ การฟ้องร้องดำเนินคดีของชาวบ้าน 151 คนกับบริษัทผู้ก่อมลพิษในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิสูจน์บทบาทของกระบวนการยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของไทยในการเยียวยาความทุกข์ของชาวบ้านคลิตี้ล่างและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้รับความเป็นธรรม ต่อเนื่องจากคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายของชาวบ้าน 8 คน และคดีปกครองฟ้องกรมควบคุมมลพิษให้ปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วก่อนหน้านี้ให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะคดี 

ข้อมูลและประเด็นแห่งคดี:

คดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 2659/2550 หมายเลขแดงที่ 1290/2553 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ระหว่าง นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ ที่ 1 กับพวกรวม 151 คน (โจทก์) กับ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 7 คน (จำเลย) ในข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2550 เรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,041,952,000 บาท (หนึ่งพันสี่สิบเอ็ดล้านเก้าแสนห้าหมื่นสองพันบาทถ้วน) และขอให้จำเลยรับผิดชอบในการฟื้นฟูขจัดมลพิษในลำห้วยคลิตี้

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 ศาลจังหวัดกาญจนบุรีมีคำพิพากษา ให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง 151 คน เป็นเงินรวมกันทั้งสิ้น 36,050,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับจากวันฟ้อง จากการที่จำเลยปล่อยน้ำเสียปนเปื้อนสารตะกั่วลงสู่ลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชาวบ้าน จนทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยเรื้อรัง และไม่สามารถใช้สอยลำห้วยได้เหมือนเดิมและให้จำเลยดำเนินการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นให้หมดสิ้นไป หากจำเลยไม่ยอมดำเนินการ ให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีสิ่งแวดล้อม มีคำพิพากษา ยืนตามศาลชั้นต้นในประเด็นเรื่องการกำหนดค่าเสียหาย แต่ในประเด็นเรื่องการฟื้นฟูลำห้วย ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย โดยเห็นว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ไม่ได้บัญญัติให้ประชาชนทั่วไปเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับเอกชนผู้ก่อมลพิษดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูลำห้วยได้โดยตรง แต่เป็นอำนาจของกรมควบคุมมลพิษที่จะบังคับตามกฎหมายให้ผู้ก่อมลพิษฟื้นฟูลำห้วย หากผู้ก่อมลพิษไม่ทำ กรมควบคุมมลพิษก็มีอำนาจฟ้องศาลขอให้บังคับผู้ก่อมลพิษให้ทำได้ โจทก์จึงยื่นฎีกาในประเด็นสิทธิของชาวบ้านในการฟ้องขอให้ศาลสั่งให้เอกชนผู้ก่อมลพิษทำการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อน อันเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่จะอ่านในวันที่ 11 กันยายน 2560 นี้ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้องอ้างว่าการรั่วไหลของสารตะกั่วจากโรงแต่งแร่เป็นเหตุสุดวิสัย และผู้บริหารของบริษัทไม่จำต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นการส่วนตัวร่วมกับตัวบริษัทที่เป็นนิติบุคคล

ทั้งนี้ นอกจากคดีนี้แล้ว ยังมีคดีที่ชาวบ้านคลิตี้ล่างใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลอีก 2 คดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วก่อนหน้านี้ คือ คดีแพ่งที่ชาวบ้านคลิตี้ล่าง 8 คน เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลย โดยศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2558 ให้ให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 20,200,0000 บาท และให้แก้ไขฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้โดยค่าใช้จ่ายของจำเลย จนกว่าลำห้วยคลิตี้จะกลับมามีสภาพที่สามารถใช้อุปโภค บริโภคได้ ตามมาตรฐานของทางราชการและให้สงวนสิทธิแก้ไขคำพิพากษาในส่วนค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อร่างกายหรืออนามัย และค่าเสียหายเพื่อการประกอบการงานของโจทก์ทั้ง 8 ภายในระยะเวลา 2 ปี

และอีกหนึ่งคดีคือ คดีปกครองที่ชาวบ้านฟ้องกรมควบคุมมลพิษฐานละเลยล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูขจัดมลพิษในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่ากรมควบคุมมลพิษละเลยล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้ชาวบ้านได้รับความเสียหายจนถึงปัจจุบัน จึงพิพากษากำหนดให้กรมควบคุมมลพิษต้องปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ โดยต้องกำหนดแผนการฟื้นฟู และตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนในตัวอย่างน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยทุกฤดูกาลจนกว่าจะไม่เกินค่ามาตรฐาน พร้อมทั้งปิดประกาศผลการตรวจให้ชุมชนทราบ รวมทั้งให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายต่อสิทธิในการได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเป็นเงินรวมเกือบ 4 ล้านบาทด้วย 

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง: 

• คำพิพากษาศาลชั้นต้น (คดีหมายเลขแดงที่ 1290/2553 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี) 
• คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (คดีหมายเลขแดงที่ 2604/2554 ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 แผนกคดีสิ่งแวดล้อม)
• สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาคดีคลิตี้ (ชาวบ้าน 8 คน ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทฯ) 
• สรุปคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีชาวบ้านคลิตี้ล่าง ฟ้องกรมควบคุมมลพิษ

>> http://enlawfoundation.org/newweb/?page_id=860

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net