การประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้(31 ส.ค.) สร้างความงุนงงให้กับสื่อมวลชนที่รอฟังผลสรุปการพิจารณามติของคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติหรือไบโอเทค ที่เสนอให้มีการปลูกและทดสอบพืชจีเอ็มโอในระดับไร่นา
"นายกรัฐมนตรีให้ถอนวาระออกจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับประชาชนเพราะหากผลักดันการศึกษาขณะนี้อาจจะเป็นการส่งสัญญานว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนต่อการผลิตสินค้าเกษตรจีเอ็มโอซึ่งยังไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล" คำแถลงของโฆษกรัฐบาล (ไทยโพสต์ ,ผู้จัดการรายวัน1 ก.ย.47)
"เรื่องนี้ยังไม่ได้พูดถึงเพราะไม่ใช่วาระเข้าสู่ที่ประชุม ครม." (ผู้จัดการออนไลน์,31 ส.ค.47) " ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมติของบอร์ดไบโอเทคใดๆ ทั้งสิ้น" คำสัมภาษณ์ของ นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ถ้อยแถลงข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า รัฐบาลไม่มีเจตนาที่จะล้มเลิกนโยบายดังกล่าวแต่ประการใด แต่รูปการณ์ที่ปรากฏนั้น เพียงเพราะหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับกระแสคัคค้านเท่านั้น
เนื่องจากประเด็นดังกล่าว อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ทั้งมีผู้แสดงความไม่เห็นด้วยตั้งแต่ระดับเกษตรกรรากหญ้า องค์กรพัฒนาเอกชน ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ซึ่งเห็นผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาหากรัฐประกาศนโยบายเปิดเสรีจีเอ็มโอ
ประการสำคัญหลายฝ่ายเกรงว่า บริษัทข้ามชาติซึ่งถือครองสิทธิบัตรในพืช สัตว์ และจุลินทรีย์จะได้ประโยชน์จากนโยบายเปิดเสรีจีเอ็มโอ อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของ เข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งผลกระทบจากปนเปื้อนของจีเอ็มโอกับพืชธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับมะละกอฮาวายมาแล้ว
แม้นายกรัฐมนตรีจะอ้างถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะตามมา ทั้งความไม่วางใจในจุดยืนของรัฐ หลังจากพบว่า ก่อนหน้าที่รัฐจะประกาศนโยบาย มีความพยายามที่จะล็อบบี้จากตัวแทนของบริษัทข้ามชาติผ่านทางนักการเมืองและข้าราชการอย่างเป็นทางการถึง 2 ครั้ง
นอกจากนั้นยังมีการแฉว่า ตัวแทนภาคเกษตรที่เป็นบริษัทเอกชนที่ร่วมทำข้อเสนอการเปิดเสรีจีเอ็มโอให้กับไบโอเทคนั้น ปรากฏว่า มีตัวแทนของบริษัทข้ามชาติเข้าร่วมอยู่กว่าครึ่ง แต่กลับไม่มีตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรเลยแม้แต่คนเดียว(วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ, ประชาไท 31 ส.ค.47)
หากรัฐไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้ แต่กลับไปหนุนเสริมให้บริษัทเอกชนข้ามชาติเข้ามากอบโกยประโยชน์บนความทุกข์ร้อนของประชาชน รัฐบาลก็จะเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เพราะต่อให้มีฝีมือเก่งกาจซักเพียงใด แต่ขาดจริยธรรมก็คงอยู่ไม่ได้
บรรณาธิการบันทึก