รายงานพิเศษ เชียงใหม่ : ไฟขยะปะทุลามทั่วเมือง

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ศูนย์ข่าวภาคเหนือ ในห้วงยามนี้ หากใครได้มาเยือนเมืองเชียงใหม่ จะพบว่า ปัญหาขยะล้นเมืองเชียงใหม่เริ่มปะทุลุกลามไปทั่ว เมื่อมองไปตามริมถนน ริมฟุตบาท ตามตรอกซอกซอย ปรากฎถุงขยะกองซ้อนทับหมักหมม ไม่ได้จัดเก็บเป็นจำนวนมาก จนผู้คนเริ่มส่ายหน้า ในความสกปรกเน่าเหม็น หลายคนเริ่มบ่นก่นด่าหาผู้รับผิดชอบ ในขณะที่ผู้บริหารบ้านเมืองท้องถิ่นกลับปัดปัญหา โยนความผิดให้กันและกัน จนกลายเป็นปัญหาการเมืองเข้าพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัญหาขยะล้นเมือง ได้สร้างผลกระทบต่อชาวบ้าน ไม่ใช่แค่ในตัวเมือง แต่ได้ขยายไปตามอำเภอต่างๆ ของเชียงใหม่ เมื่อมีการขนขยะไปทิ้งตรงไหน ชาวบ้านต่างลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวคัดค้าน จนสุดท้ายพบว่า ขยะเชียงใหม่ไปโผล่ตามจังหวัดใกล้เคียง

"มีปัญหา แต่ไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข นี่คือเชียงใหม่ในยุคทักษิณ ภายใต้ยุทธศาสตร์ นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง" เสียงของใครบางคนบ่นปนเย้ยหยัน...

เมื่อย้อนรอยกลับไปก่อนนั้น เมืองเชียงใหม่ ได้เคยเกิดวิกฤติการณ์ปัญหาขยะมาหลายระลอก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมเป็นอย่างมาก จนถึงปี พ.ศ.2542 ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้เพิ่มขึ้นสูงเฉลี่ยถึง 250-300 ตันต่อวัน ภายใต้การบริหารของ นายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ในสมัยนั้น

วันที่ 22 ต.ค.2542 มีการลงนามในสัญญาจ้าง ระหว่างเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยนายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เป็นผู้ลงนามว่าจ้าง กับ บริษัท แอดวานซ์เทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้รับจ้าง ในวงเงิน 200 ล้าน 8 แสนบาท โดยผูกพันตามสัญญาจ้าง 5 ปี

ในขณะเดียวกัน มีผู้ติดตาม ตรวจสอบ ในการชี้ช่องโหว่ของเงื่อนไขในสัญญาจ้าง ว่า ถ้าผู้รับจ้างคือ บ.แอดวานซ์ฯ ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาจ้างได้ ก็ต้องยกเลิกการว่าจ้าง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ

ซึ่งเงื่อนไขคือ ผู้เข้าร่วมประกวดราคาต้องจัดหาที่ดิน เพื่อเป็นสถานที่พักและขนถ่ายมูลฝอย แต่ปรากฎว่า บ.แอดวานซ์ฯ ไม่อาจจัดหาที่ดินเพื่อที่พักและขนถ่ายมูลฝอยได้ ทว่ากลับชนะการประกวดราคา เป็นผู้รับจ้างในคู่สัญญากับ เทศบาลนครเชียงใหม่

นั่น,คือความไม่ชอบพากล ในความไม่โปร่งใส เริ่มปรากฎชัดเจนตั้งแต่เริ่มการประกวดราคากันแล้ว!?

ว่าแท้จริงแล้ว, สถานีพักขนถ่ายขยะจะเป็นตัวแปร เงื่อนไข ในการเลิกจ้างเอกชนจัดเก็บขนขยะ ไม่ว่าที่บ้านเด่น บริเวณสุสานหายยา ซึ่งล้วนแต่ก่อปัญหาจนชาวบ้านได้รับผลกระทบจากกลิ่นเน่าเหม็นของกองขยะ ได้เคลื่อนไหวคัดค้านเรียกร้องให้รีบจัดการโดยด่วน

นับตั้งแต่นั้นมา...ปัญหาขยะเริ่มขยายลุกลามออกไปตามอำเภอรอบๆ เมืองเชียงใหม่

ปัจจุบัน นายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ เป็น ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคไทยรักไทย

ผ่านมาถึงขณะนี้ ปี พ.ศ.2547 ภายใต้การบริหารงานของนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ คนปัจจุบัน ซึ่งผลทางกฎหมายเป็นคู่สัญญา ในฐานะ" ผู้ว่าจ้าง" ก็ยังไม่เลิกสัญญาจ้าง

ประเด็นสำคัญ คือ เงื่อนไขมีอยู่แล้วว่า ผู้เข้าประกวดราคา ต้องจัดหาที่ดินเพื่อเป็นสถานที่พักและขนถ่ายขยะมูลฝอยของทางเทศบาลนครเชียงใหม่ทั้งหมด ไปยังสถานที่ดำเนินการกำจัด โดยต้องมีขนาดพื้นที่พอเพียงกับการรับงานขนถ่ายขยะในปริมาณ 300-350 ตัน

นอกจากนั้น ต้องไม่ควรอยู่ในที่ชุมชนและไม่ใกล้บ้านเรือนเกินไป ต้องกำหนดให้มีรอบรั้วขอบชิด โดยคำนึงถึงกลิ่นและผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม หรือความเดือดร้อนรำคาญจากการปฏิบัติงานแก่บริเวณใกล้เคียง มีระบบบำบัดน้ำเสีย และการออกแบบส่วนต่างๆ ทั้งหมดจะต้องทันสมัยและมีประสิทธิภาพ

ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องได้รับความยินยอมจากองค์กรท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถใช้ที่ดินในพื้นที่เป็นที่รวบรวมและขนขยะ โดยให้แสดงหนังสือที่ยินยอมด้วย!!

หากการทำงานของผู้รับจ้าง นั้นไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นได้

อีกทั้ง นายจ้าง คือ ก็ไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ตามที่ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคม มิหนำซ้ำ ยังละเลยเพิกเฉยในการดำเนินการแก้ไข ทั้งๆ ที่ผู้รับจ้าง ทำได้แต่เพียง ตระเวณเช่าใช้พื้นที่เพื่อพักขนถ่ายขยะในหลายๆ พื้นที่ ทั้งในเขตอำเภอเมือง และอำเภอรอบนอก จนที่สุดได้เกิดกระแสต่อต้านไปทุกหย่อมย่าน...

เดือนตุลาคม 2547

ปัญหาการจัดการขยะวันละกว่า 200 ตันในพื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ ได้เกิดขึ้นรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสัญญาพื้นที่ทิ้งขยะที่อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ ได้หมดลงเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ลอบนำขยะไปทิ้งแบบฝังกลบที่ต.เหมืองจี้ อ.เมือง จ.ลำพูนแทนตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม

มีกระแสบอกว่า จะนำขยะไปทิ้งที่เหมืองจี้ จ.ลำพูน ในระยะ 6 เดือนเพื่อรอศูนย์กำจัดขยะครบวงจรก่อสร้างเสร็จ แต่สุดท้าย...ชาวบ้านเหมืองจี้ได้มาประท้วงที่หน้าศาลากลางจังหวัดลำพูนและรองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนได้รับปากกับชาวบ้านว่าจะไม่ยอมให้นำขยะจากเชียงใหม่มาทิ้งที่ลำพูนเด็ดขาด

นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ กล่าวว่า จะไปเจรจากับชาวลำพูนทั้ง 4 ตำบล และจะพาไปดูการฝังกลบว่าทำถูกสุขลักษณะและไม่มีปัญหาซึ่งมั่นใจว่าจะตกลงกันได้ ขณะเดียวกันก็จะเจรจากับ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เพื่อขอใช้ที่ดินเดิม ทั้งนี้เชื่อว่าจะใช้พื้นที่อื่นเพื่อจัดเก็บขยะถึงเพียงสิ้นปีนี้ เพราะเครื่องจักรจากประเทศอังกฤษที่จะมาสร้างเป็นศูนย์กำจัดขยะครบวงจะจะขนส่งมาถึงในอีก 2 เดือนนี้แล้ว

ส่วนขยะที่จัดเก็บแล้วทั้งหมดแต่ยังไม่ได้นำไปฝังกลบนั้น นายบุญเลิศยืนยันว่าได้จัดเก็บทุกพื้นที่และนำไปรวบรวมไว้ในโรงเก็บของเทศบาลฯ ไว้ก่อน อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าบางพื้นที่เริ่มปล่อยทิ้งขยะไม่มาจัดเก็บตามกำหนดบ้างแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ให้กล่าวว่า หลังการหมดสัญญาที่อำเภอฮอดจะนำขยะไปทิ้งที่ ต.ปงตัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เทศบาลนครเชียงใหม่ได้จัดซื้อไว้สำหรับเป็นที่สำรองในการกำจัดขยะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่เดิมที่เป็นแหล่งกำจัดขยะของทางเทศบาลนครเชียงใหม่และได้ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อย ไม่น่าจะมีปัญหาการคัดค้านจากคนในพื้นที่ โดยมิได้ระบุว่าจะนำไปทิ้งที่ต.เหมืองจี้ จ.ลำพูน

หากแต่ในการประชุมร่วมระหว่างเทศบาลนครเชียงใหม่กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ หลังมีกระแสคัดค้านจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่อ.ฮอดไม่ให้ต่อสัญญาพื้นที่ และทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดมาแล้ว โดยดร.อำนวย ยศสุข นายกสภามหาวิทยาลัยแม่โจ้ เสนอให้ใช้พื้นที่ ต.แม่นาป๊าก อ.แม่แตง โดยทำเป็นโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แทน

ครั้งนั้นนายเคน สันติธรรม ปลัดเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้ระบุถึงแผนที่จะรองรับการจัดหาที่ทิ้งขยะว่าจะนำไปทิ้งที่องค์การบริหารส่วน ต.เหมืองจี้ จ.ลำพูน ซึ่งสามารถจะทิ้งขยะได้ในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้แล้วก็ยังได้มีการลงนามข้อตกลงในการแปลงขยะให้เป็นพลังงานกับ บ. เซปโก้ ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้

ด้านนายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้แสดงความห่วงใยต่อปัญหานี้เพราะกำลังเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว แต่ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ยืนยันว่า เตรียมการไว้แล้วและกำลังคลี่คลายปัญหาอยู่

ปัญหาขยะท่วมเมืองเชียงใหม่เคยเกิดขึ้นมาในลักษณะเดียวกันเช่นนี้มาแล้ว ในช่วงการประชุมเอดีบี ก่อให้เกิดความอับอายขายหน้าไปทั่ว

ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ได้แถลงข่าวถึงปัญหาขยะเมืองเชียงใหม่ว่า จากปัญหาขยะล้นเมืองเนื่องจากติดขัดปัญหาเรื่องสถานที่กำจัดขยะนั้น ต้องการเรียกร้องให้ผู้บริหารท้องถิ่นให้ความสนใจดูแลเรื่องนี้อย่างชัดเจน และขอร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในฐานะผู้ว่าฯซีอีโอยื่นมือเข้าร่วมแก้ไขปัญหานี้โดยด่วนที่สุด ทั้งนี้ เพราะ จ.เชียงใหม่เคยได้รับผลกระทบจากปัญหานี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีทางออกหรือวิธีการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนเลย รวมทั้งอยากจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีให้สนับสนุนงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา

สำหรับวิธีการกำจัดขยะของเชียงใหม่เสนอว่าควรจะใช้วิธีการสร้างเตาเผาขยะ และการฝังกลบ โดยในส่วนของเตาเผาขยะนั้นเห็นว่าควรจะมีการสร้างเตาเผาขยะที่สมบูรณ์แบบที่สุดอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ได้แล้ว ซึ่งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษตามมา ส่วนการฝังกลบเห็นว่าหากทำอย่างถูกต้องตามหลักวิธีการและมีการทำความเข้าใจพร้อมทั้งให้ผลประโยชน์หรือสิทธิพิเศษบางอย่างแก่ชุมชนในพื้นที่อย่างเหมาะสมแล้วจะไม่ทำให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด

กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้กล่าวว่า เนื่องจากเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ดังนั้น การปล่อยให้มีปัญหาขยะเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มองว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารท้องถิ่นขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหา เพราะเมืองเชียงใหม่เคยมีประสบการณ์จากปัญหานี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งน่าจะเรียนรู้และนำมาวางแผนแก้ไขปัญหารองรับอนาคตได้ แต่ทุกวันนี้กลับยังไม่มีแผนรองรับการแก้ไขปัญหาเลย

องอาจ เดชา
ประชาไทรายงาน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท