ประชาไท-9พ.ย.47 - ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยในปี 2005 จะอยู่ที่ 5.8 % ซึ่งจะยังคงเป็นผลต่อเนื่องมาจากปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

โดยเฉพาะในปีหน้าที่ทางรัฐบาลประกาศจะลอยตัวค่าน้ำมันดีเซล ซึ่งจะส่งผลราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นถึงหนึ่งในสามจากราคาเดิม และยังส่งผลถึงการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนในภาคเอกชนอีกด้วย

ในรายงานของธนาคารโลก ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2004 ซึ่งได้มีการเผยแพร่ในวันนี้ ได้รายงานถึงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น )เฉลี่ยทั้งปี 2547 ได้ขยายตัวถึง 7 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้คาดว่าจะสูงเกินกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ โดยที่การส่งออกยังเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

ส่วนของประทศไทยนั้น อัตราการขยายตัวของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 6.4 % ลดลงจาก 6.8 % ในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจาก การสูงขึ้นของราคาน้ำมันและภาวะความผันผวนอื่นๆ

อย่างไรก็ตามผลกระทบดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะคลายตัวลงจากการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในการบริโภคภาคเอกชนรวมถึงการลงทุนและการส่งออก

นอกจากนี้ปัญหาเรื่องไข้หวัดนก และปัญหาเรื่องความสงบในสามจังหวัดภาคใต้ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลดลง และยังส่งผลถึงเรื่องการส่งออกอีกด้วย

โดยในรายงานขีดความสามารถในการแข่งขันโลกของประเทศไทย (The Global competit iveness Report) ได้จัดอันดับประเทศไทยให้อยู่ใน 25 อันดับแรก โดยเทียบเคียงเอาจากการแบกรับภาระทางด้านภาษีในอัตราที่ต่ำ ระบบการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ และรายจ่ายกับผลิตผลที่ผลิตได้ แต่ก็มีข้อแนะนำในการปรับปรุงพัฒนาในด้านเทคโนโลยี การควบคุมการคอรัปชั่น การเสริมสร้างทักษะและเพิ่มประสิทธิภาพในระบบราชการ

และยังมีคำเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจในปี 2005 ซึ่งอาจจะประสบภาวะความผันผวน ไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลดลงของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ร่ำรวย และแนวโน้มการลดลงในเรื่องผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงและโภคภัณฑ์ในเอเชียตะวันออก ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป

ประชาไทรายงาน