ประชาไท-25 พ.ย.47 "รู้สึกเสียใจที่ความเข้าใจเรื่องการเพิ่มเงินให้ส.ส. คลาดเคลื่อน ทำให้ประชาชนโจมตีกันมาก อยากชี้แจงว่า เงินที่ขึ้นไม่ใช่เงินเดือน แต่เป็นเงินประจำตำแหน่งเป็นเงินเลี้ยงชีพในการดำรงตำแหน่ง เพราะการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)มีภาระมากขึ้นจากเดิม จึงต้องมีเงินค่าครองชีพที่สมฐานะ " นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงในการประชุมครั้งที่ 31ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของสภาฯ สมัยการประชุมสามัญนิติบัญญัติ เรื่องการขึ้นเงิน เดือนสมาชิกรัฐสภา
นายอุทัยกล่าวต่อว่า ไม่อยากให้ประชาชนมองการขึ้นเงินเดือน ค่าตอบแทนให้กับสมาชิกรัฐสภาเป็นภาพการออกเสียงลงคะแนนในการประชุม อยากให้มองข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระหน้าที่ ความกดดันต่างๆ ของส.ส.ที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในเขตเลือกตั้งของแต่ละคน มากกว่าที่จะมองหรือวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเงินเดือนค่าตอบแทนเท่านั้น เพราะหากคิดว่าผู้ที่ทำงานการเมืองไม่ควรได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอกับการดำรงชีพแล้ว โดยอนาคตคงมีแต่นักการเมืองที่มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น คนจนจะไม่มีสิทธิเข้ามาทำงานการเมืองอีกเลย
"ไม่อยากให้มองว่าการเป็นผู้แทนคือแค่ใส่สูทมาประชุมเท่านั้น ไม่อยากนำเรื่องของรายได้ไปเปรียบเทียบกับชาวนาด้วย" ประธานสภากล่าวและว่า ขอให้ ส.ส.นำเรื่องนี้ไปชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ อย่างไรก็ตามขอขอบคุณ ส.ส.ที่ให้ความร่วมมือและไม่ติดใจต่อการล่วงเกินที่ผ่านมา
จากนั้น ที่ประชุมสภาฯได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2546 ของสำนักงานคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) โดยมีส.ส.อภิปรายตั้งข้อสังเกตว่าประเด็นการตั้งสายลับ ปปง.ขาดกระบวนการกลั่นกรองบุคคลที่เหมาะสม รวมถึงปัญหาการจ่ายเงินสินบนนำจับที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ปฏิบัติงาน โดยได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือกันถึงเรื่องต่างๆ ของผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

ศิริรัตน์ อนันต์รัตน์
ประชาไทรายงาน